ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
มีนาคม 28, 2024, 05:28:06 PM
หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก
ข่าว: ประกาศ การกระทำใดๆ  เพื่อที่จะให้กระทู้ตัวเองมาอยู่อันดับต้นๆ ประจำ หากพิจารณาแล้วว่า ไม่เกิดประโยชน์กับผู้เข้าชม  ก็รับสิทธิ์โดนแบนเหมือนกันครับ


จองที่พักราคาถูกทั่วประเทศโทร 053266550-2  |  ข้อมูล เที่ยวลำปาง และ ที่พักลำปาง  |  ทริปข้อมูล รูปภาพลำปาง  |  หัวข้อ: วันเพ็ญ เดือน 12 เหนือ วันปล่อยผีล้านนา (ประเวณีปล่อยผีปล่อยเปรต ) 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้ « หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ลงล่าง พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: วันเพ็ญ เดือน 12 เหนือ วันปล่อยผีล้านนา (ประเวณีปล่อยผีปล่อยเปรต )  (อ่าน 12598 ครั้ง)
dondarlink
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: กันยายน 04, 2009, 08:51:27 AM »


วันเพ็ญ เดือน 12 เหนือ วันปล่อยผีล้านนา (ประเวณีปล่อยผีปล่อยเปรต )

ปีนี้ตรงกับ วันศุกร์ ที่ 4 กันยายน 2552 บางที่ก็จัดพร้อมกันกับ ตานสลาก

  ประเพณีอุทิศหาผู้ตาย บางทีเรียกว่า ประเพณีเดือน 12 เพ็ง ประชาชนในล้านนาไทยนิยมทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้บรรพบุรุษของตน คือ พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ลุงป้า    ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว ประเพณีนี้เรียกกันในแต่ละท้องถิ่นก็มีชื่อแตกต่างกันไป บางจังหวัดในล้านนาเรียกประเพณีอุทิศะหาผีตายบ้าง เรียกประเวณีเดือนสิบสองบ้าง เรียกประเวณีปล่อยผีปล่อยเปรต
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 04, 2009, 08:53:58 AM โดย MR'DON » บันทึกการเข้า
dondarlink
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 04, 2009, 08:54:27 AM »


ตรงกับของภาคกลางว่า “ตรุษสารท” ปักษ์ใต้เรียกว่า ประเพณีเดือนสิบชิงเปรต และทางภาคอีสานก็คือ ประเพณีบุญข้าวประดับดิน ประเพณีที่กล่าวมานี้โดยความหมายและจุดประสงค์เป็นอันเดียวกัน ต่างกันด้วยวิธีการทำตามจารีตประเพณีที่เคยทำมาในท้องถิ่นของตน
                ประเพณีตรุษสารทของภาคกลาง เป็นประเพณีที่คนไทยภาคกลางปฏิบัติกันมานานแล้ว ตามตำนานว่าได้รับลัทธินี้มาจากพราหมณ์และพุทธรวมกัน ตามคติพราหมณ์ถือว่า การทำบุญในเวลาที่ต้นข้าวออกรวงเป็นน้ำนม จึงมีพิธีรับขวัญรวงข้าวเพื่อให้เป็น ศิริมงคลแก่ข้าวในนาด้วย
บันทึกการเข้า
dondarlink
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 04, 2009, 08:54:50 AM »


             ส่วนศาสนาพุทธถือว่าเป็นการทำบุญเพื่อแสดงความยินดีว่าวันเดือนปี ก็ได้    ล่วงเลยไปแล้วโดยสวัสดีมีชัย จึงทำพิธีกวนกระยาสารทไปทำบุญเพื่อระลึกถึงพระพุทธองค์และเพื่ออุทิศผลบุญให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว

                ประเพณีเดือนสิบประเพณีชิงเปรตของภาคใต้นั้น ทำกันทุกจังหวัดโดยเฉพาะจังหวัดนครศรีธรรมราช นับเป็นเมืองหลวงทางวัฒนธรรมประเพณี ส่วนประชาชนในจังหวัดพัทลุง มีความเชื่อถือและบำเพ็ญกุศลวันสารทเดือนสิบ ปีหนึ่ง 2 ครั้ง เหมือนจังหวัดชุมพร และมีการยก “มวับ” เหมือนจังหวัดนครฯ แต่มีที่แตกต่างออกไป คือ เมื่อทำพิธีบุญเสร็จแล้ว ก็จะมีการ “ชิงเปรต” ผู้ที่ไปร่วมทำบุญทุกคน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทั้งหญิงและชาย ต่างก็แย่งชิงขนม ที่ตั้งให้เปรตไว้ตรงทางเข้าวัด หรือบนร้านที่จัดไว้    มาเป็นส่วนของตน และเชื่อกันว่าใครได้กินขนมที่เหลือจากปู่ย่า ตา ยาย จะได้กุศลแรง ปู่ ย่า ตา ยาย จะอวยพรให้ได้อยู่เป็นสุข
บันทึกการเข้า
dondarlink
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: กันยายน 04, 2009, 08:55:07 AM »


        ประเพณีบุญข้าวประดับดิน ของภาคอีสาน ทำกันเดือน 9 แรม 14-15 ค่ำ ซึ่งเป็นระยะย่างเข้าเดือน 12 เหนือ หรือเดือน 10 ใต้ ในวันดังกล่าวจะนำอาหาร พร้อมทั้งขนมหวานหมากพลู บุหรี่ ห่อด้วยใบตองกล้วยมัดด้วยตอกหรือเชือก จะเอาห่อใหญ่หรือเล็กตามที่ต้องการจะแยกเป็นหลายห่อ หรือนำห่อเล็ก ๆ มารวมกันก็ได้ แล้วแต่สะดวก แล้ววางไว้ในขันหรือพาน    วันรุ่งเช้าขึ้น 1 ค่ำเดือน 10 ก็จะนำเอาห่อข้าวนั้นไปวางไว้กับพื้นดินใกล้โคนไม้ หรือแขวนไว้กับกิ่งไม้ตามทางแยกสามแพร่งหรือสี่แพร่ง หรือนำไปวางไว้ตามบริเวณวัด แล้วนิมนต์พระสงฆ์มารับสิ่งของเหล่านั้น อุทิศส่วนบุญไปถึงวิญญาณของผู้ตาย
บันทึกการเข้า
dondarlink
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: กันยายน 04, 2009, 08:55:51 AM »


     สำหรับการอุทิศหาผู้ตายของล้านนาไทย มีประเพณีสืบต่อกันมาเนื่องในการอุทิศกุศลแก่ญาติพี่น้องผู้ที่ตายไปแล้ว ถือกันว่าในวันเดือน 12 เหนือ ขึ้น 1 ค่ำถึงเดือนแรม   14 ค่ำนั้น พระยายมราชได้ปล่อยวิญญาณสัตว์ผู้ตายกลับมาสู่เมืองมนุษย์เพื่อขอรับเอาส่วนบุญกุศลจากญาติพี่น้องลูกหลาน จะได้พ้นจากภาวะแห่งเปรตอสุรกายทั้งหลาย     ดังนั้นการปฏิบัติประเพณีก็ด้วยความกตัญญู ต้องการให้บุคคลผู้เป็นที่รักพบกับความสุขในปรโลก จึงได้ทำกันสืบ ๆ มา
บันทึกการเข้า
dondarlink
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: กันยายน 04, 2009, 08:56:24 AM »


ตำนานทางพุทธศาสนากล่าวถึง เปรตญาติของพระราชาพิมพิสารไว้ดังนี้
                ในกัลปที่ 92 นับแต่ภัทรกัลปนี้ขึ้นไปถึงศาสนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า “ปุสสะ” พระพุทธบิดาทรงพระนามว่า “พระเจ้าชยเสนะ” พระพุทธมารดามีพระนามว่า “ศิริมา” พระเจ้าชยเสนะยังมีพระราชบุตรอีก 3 องค์ ต่างพระมารดา และเป็นพระกนิษฐาภาดาของพระปุสสะพระพุทธเจ้า
                ราชบุตรทั้ง 3 นี้ มีเจ้าพนักงานรักษาคลังหนึ่งเก็บส่วยในชนบท กาลต่อมาพระราชบุตรทั้งสามมีพระประสงค์จะบำเพ็ญกุศลบำรุงพระศาสนา ผู้เป็นพระเชษฐภาดา ตลอดไตรมาส (3 เดือน) จึงทูลขออนุญาตต่อพระราชบิดา เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว พระราชบุตรทั้งสามจังตรัสสั่งเจ้าพนักงานผู้เก็บส่วยในชนบทของพระองค์ให้สร้างวิหาร ครั้นสร้างเสร็จแล้ว พระราชบุตรทั้งสามจึงนำเสด็จพระพุทธเจ้าไปที่วิหาร และทูลถวายวิหารแก่พระศาสดา แล้วสั่งเจ้าพนักงานรักษาพระคลังและพนักงานเก็บส่วยว่า เจ้าจงดุแลจัดของเคี้ยวของฉันถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุ 90,000 องค์ที่เป็นพุทธบริวารและตัวเราทั้งสามกับบริวารด้วยทุก ๆ วัน ตลอดจนไตรมาสด้วย ตั้งแต่วันนี้ไปเราจักไม่พูดอะไร ตรัสแล้วก็พาบริวาร 1,000 องค์สมาทานศีล 10 แล้วประทับอยู่ในวิหารตลอดไตรมาส
                เจ้าพนักงานรักษาพระคลัง และเจ้าพนักงานเก็บส่วน ผลัดกันดูแลทานวัตต์ตามความประสงค์ของพระราชบุตรทั้งสามด้วยความเคารพ ครั้งนั้นชาวชนบทบางพวกมีจำนวน 84,000 คนได้ทำอันตรายต่อทานวัตต์ของพระราชบุตรทั้งสาม มีกินไทยธรรมเสียเองบ้าง ให้แก่บุตรเสียบ้าง เผาโรงครัวเสีย ชนเหล่านั้นครั้นทำลายขันธ์แล้วจึงไปบังเกิดในนรก
                กาลล่วงไปถึง 92 กัลปจนถึงกัลปนี้ ในพระพุทธศาสนา พระกัสสปะ สัมมาสัมพุทธเจ้า ชนเหล่านี้มีจิตอันอันอกุศลเบียบเบียนแล้วนั้น ได้มาบังเกิดในหมู่เปรต ครั้งนั้นมนุษย์ทำบุญให้ทานอุทิศส่วนกุศลให้แก่เปรตที่เป็นญาติของตน เปรตเหล่านั้นก็ได้ซึ่งทิพย์สมบัตินานาประการ แต่หมู่เปรตผู้ทำลายเครื่องไทยธรรมพระราชบุตรทั้งสามนั้น หาได้รับส่วนกุศลไม่ เปรตเหล่านั้นจึงทูลถามพระกัสสปะพุทธเจ้าว่า ข้าพระพุทธเจ้านี้จะพึงได้สมบัติอย่างนี้บ้างหรือไม่ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ท่านทั้งหลายยังไม่ได้สมบัติในบัดนี้ ต่อไปภายหน้าในพุทธกาลแห่งพระโคดมพระพุทธเจ้า ญาติของท่านทั้งหลายจักได้เป็นพระราชา ทรงพระนามว่า “พิมพิสาร” และจักได้ถวายทานแด่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น แล้วอุทิศผลบุญถึงท่านทั้งหลาย เมื่อนั้นแหละท่านจะได้สมบัติอย่างนี้
                การล่วงมาได้พุทธันตรหนึ่งถึงพระพุทธศาสนา พระสัมมาพุทธเจ้าของเรานี้     เจ้าพนักงานผู้เก็บส่วนพระราชบุตรทั้งสามได้มาบังเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสาร และพระเจ้าพิมพิสารเมื่อได้ฟังเทศนาของพระพุทธเจ้าก็ได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล และได้ถวายไทยธรรมแด่พระพุทธเจ้า แต่หาได้อุทิศส่วนกุศลให้แก่เปรตที่เป็นญาติไม่เปรตที่เป็นญาติเหล่านั้นมาคอยรับส่วนกุศลอยู่ เมื่อมิได้รับส่วนกุศลตามความปรารถนาก็เสียใจ พอถึงเวลาราตรีหนึ่งก็ส่งเสียงร้องเรียกแปลกประหลาดน่าสะพึงกลัว ครั้งรุ่งสางขึ้น พระเจ้าพิมพิสารก็เสด็จเข้าเฝ้าพระศาสดาทูลถามเหตุนั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสเนื้อความทั้งปวงแต่หนหลังให้พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบ พระเจ้าพิมพิสารจึงอาราธนาพระพุทธเจ้าให้เข้าไปรับเครื่องไทยธรรมในพระราชนิเวศน์ แล้วพระราชาทรงกระทำทักษ์โณทก      ทรงอุทิศว่าอุทกนี้จงถึงหมู่ญาติของเรา
                ขณะนั้นฝูงเปรตที่มีความกระวนกระวาย และร่างกายที่น่าเกลียดน่ากลัวก็สูญหายไป กลับมีผิวพรรณงามผ่องใสดังทอง แล้วพระราชาถวายยาคูและของเคี้ยวอุทิศถึงญาติอีก ยาคูและของเคี้ยวอันเป็นทิพย์ก็เกิดขึ้นในสำเร็จประโยชน์แก่ฝูงเปรตที่เป็นญาติเหล่านั้น แล้วพระราชาถวายผ้าและเสนาสนะทรงอุทิศถึงญาติอีก ผ้าและเครื่องเสนาอาสนะปราสาทแต่ล้วนเป็นทิพย์ ให้สำเร็จประโยชน์แก่ฝูงเปรตเหล่านั้น แล้วสมเด็จพระทศพลก็ทรงอธิษฐานให้พระเจ้าพิมพิสารได้ทัศนาการฝูงเปรตที่เป็นญาติเหล่านั้นได้ประสบความสุข พระเจ้าพิมพิสารก็ทรงพระโสมนัสยิ่งนัก
                ในครั้งนั้นมีเรื่องสืบมาว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาติโรกุฑสูตร ทรงสรรเสริญทานที่ทายกอุทิศบริจาคแก่ญาติที่ตายไปแล้วอีกหลายวัน แล้วกล่าวคำอุทิศถึงญาติว่า “อิทํ โว ญาตีนํ โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตโย ฯ” ทานนี้จงถึงญาติทั้งหลาย (ที่เกิดในเปรตวิสัย) ขอญาติเหล่านั้นจงมีความสุข (คือได้เสวยผลแห่งทานได้ความสำราญ)
                อนึ่งผู้บริจาคทานนั้นก็หาได้ไร้ผลไม่ เป็นการสร้างสมบุญกุศลให้เพิ่มยิงขึ้น กลับมีอานิสงฆ์ยิ่งใหญ่ให้ผู้อื่นได้อนุโมทนาอีก การร้องไห้เศร้าโศกปริเวทนา หาผู้ที่ตายไปไม่เป็นประโยชน์อย่างไรแก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว มีแต่การทำบุญอุทิศกุศลเท่านั้นจะได้ผลแก่เขาในปรภพแล
                ในวันเดือน 12 เหนือขึ้น 14 ค่ำ จะเป็นวันแต่งดาเตรียมข้าวปลาอาหาร ขนมหวาน ผลไม้ไว้พร้อมสรรพ รุ่งขึ้นเป็นวันเดือน 12 เพ็ญ ชาวบ้านจะนำเอาอาหารใส่ถาดไปวัดและจะถวายแด่พระภิกษุเรียกว่า “ทานขันข้าว” มีการหยาดน้ำอุทิศบุญกุศลด้วยโดยให้พระเป็นผู้กรวดให้เพราะถือว่าท่านเป็นผุ้ทรงศีลบุญกุศลจะถึงแก่ผู้ตายได้ง่าย
                การทำบุญอุทิศกุศลนั้น มีการทำ 2 แบบ คือ อุทิศแก่ผู้ตายธรรมดา 1. อุทิศแก่ผู้ตายโดยอุบัติเหตุพวกผีตายโหง 2. อุทิศแก่ผู้ตายธรรมดาญาติจะนำอาหารไปถวายที่วัด ถือว่าวิญญาณผู้ตายธรรมดาจะเข้าออกวัดได้โดยสะดวก ส่วนผีตายโหงนั้น เข้าวัดไม่ได้เพราะอำนาจแห่งเวรกรรม ญาติต้องถวายอาหารพระนอกวัด คือ นิมนต์พระมานอกกำแพงวัดแล้วถวาย เช่นเดียวกับบุญข้าวประดับดินของอีสาน
                การทำบุญอุทิศถึงผู้ตายนี้ ถ้ามีญาติหลายคนที่ตายไปแล้วจะต้องอุทิศให้คนละขัน หรือคนละถาดกล่าวคือจะต้องถวายหลายครั้งตามจำนวนคน แต่บางรายก็จดรายชื่อให้พระ เวลาพระให้พรจะได้ออกชื่อผู้ตายตัวอย่างคำให้พรอุทิศแก่ผู้ตายดังนี้ “ดีและอัชชะในวันนี้ก็หากเป็นวันดี สะหรีอันประเสริฐล้ำเลิศกว่าวันดังหลาย บัดนี้หมายมีมูลศรัทธา…(ชื่อผู้ถวาย)….ได้สระหนงขงขวายตกแต่งแปงพร้อมน้อมนำมา ยังมธุบุปผาลาชาดวงดอกข้าวตอกดอกไม้ลำเทียน ข้าวน้ำโภชนะอาหารมาถวายเป็นทานเพื่อจักอุทิศะผละหน้าบุญ ผู้อันจุติตาย มีนามกรว่า ..(ผู้ตาย)…หากว่าได้วางอารมณ์อาลัย มรณะจิตใจไปบ่ช่าง ไปตกท้องหว่างจตุราบาย ร้อนบ่ได้อาบอยากบ่ได้กิ๋น ดังอั้นก็ดี ขอผละหน้าบุญอันนี้ไปอุ้มปกยกออก จากที่ร้ายคล้ายมาสู่ที่ดี หื้อได้เกิดเป็นเทวบุตร เทวดา อินทาพรหมตนประเสริฐดั่งอั้นก็ดี ขอผละหน้าบุญอันนี้ไปเตื่อมแถม ยังสะหรีสัมปติยิ่งกว่าเก่า สุขร้อยเท่าพันปูน ผละหน้าบุญนี้ชักนำรอดเถิงเวียงแก้วยอดเนรพานนั้นจุ่งจักมีเที่ยงแท้ดีหลี…”
บันทึกการเข้า
dondarlink
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #6 เมื่อ: กันยายน 04, 2009, 08:56:40 AM »


     ศรัทธาประชาชนบางคนนอกจากทานขันข้าวอุทิศส่วนกุศลแล้ว ยังนิมนต์พระมาเทศน์ที่บ้านอุทิศกุศลแก่ผู้ตายด้วย บางรายก็ไปนิมนต์พระเทศน์ที่วัดพร้อมกับการถวายอาหาร ทานขันข้าว พระคัมภีร์ที่นิยมเทศน์ในวันดังกล่าวนี้ประกอบด้วย
               ๑.     ธรรมเปตพลี
               ๒.    ธรรมมาลัยโผด
               ๓.    ธรรมมูลนิพพาน
               ๔.    ธรรมมหามูลนิพพาน
               ๕.    ธรรมตำนานดอนเต้า
               ๖.     ธรรมตำนานพระยาอินทร์
บันทึกการเข้า
dondarlink
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #7 เมื่อ: กันยายน 04, 2009, 08:56:57 AM »


      คัมภีร์เหล่านี้นิยมใช้เทศน์อุทิศส่วนกุศลเจ้าภาพอาจจะบูชาเอาผูกใดผูกหนึ่ง คือ เรื่องใดเรื่องหนึ่งเทศน์ให้ฟังเป็นอานิสงฆ์แห่งการฟังธรรมอุทิศเป็นปุพพเปตพลี
                 การทำบุญอุทิศหาผู้ตายนี้ หากจะพิจารณาถึงประโยชน์แล้วได้สิ่งที่เป็นสาระหลายประการคือ
               ๑.     เป็นการสร้างความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพชน
               ๒.    เป็นการสังคหะช่วยเหลือผู้ตายอื่น ๆ และถวายอาหารแก่พระภิกษุสงฆ์จำนวนมาก ซึ่งจำพรรษาอยู่
               ๓.    เป็นการสร้างความสามัคคียึดเหนี่ยวน้ำใจ คนข้างเคียงมิตรสหาย
               ๔.    เป็นการสร้างความสุขใจให้แก่ผู้กระทำ
               ๕.    เป็นการอบรมลูกหลานให้เข้าใจในระเบียบประเพณี
               ๖.     เป็นการอนุรักษ์มรดกของบรรพบุรุษไว้นานเท่านาน
          ดังนั้นประเพณีอุทิศหาผู้ตายในวันเดือนสิบสองเพ็ญจึงเป็นประเพณีที่ดีงาม ควรแก่การอนุรักษ์ไว้ให้เจริญและคงอยู่กับลูกหลานสืบไป
บันทึกการเข้า
dondarlink
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #8 เมื่อ: กันยายน 04, 2009, 09:35:07 AM »


ทาน คือ การให้ ย่อมกำจัดความตระหนี่ ความคับข้องหมองใจได้
บันทึกการเข้า
auto
Administrator
Hero Member
*****
กระทู้: 5733


**Chiang Mai, I love you**


ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: กันยายน 04, 2009, 09:39:13 AM »


ขอบคุณ..ข้อมูล ครับ :16:
บันทึกการเข้า

หน้า: 1 ขึ้นบน พิมพ์ 
จองที่พักราคาถูกทั่วประเทศโทร 053266550-2  |  ข้อมูล เที่ยวลำปาง และ ที่พักลำปาง  |  ทริปข้อมูล รูปภาพลำปาง  |  หัวข้อ: วันเพ็ญ เดือน 12 เหนือ วันปล่อยผีล้านนา (ประเวณีปล่อยผีปล่อยเปรต ) « หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  




Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.5 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.062 วินาที กับ 20 คำสั่ง