ขนมหวานตบท้ายให้ฟินกระจายในสามโลก คือ พุดดิ้งชาเขียวถั่วแดง เนื้อเนียนแน่นหยุ่นในราคาเพียง 60 บาท

ทางร้านมีเมนูหลากหลายทั้งทานเล่น ทานหลัก ทานหนัก ทานเรื่อยเปื่อย หมูเอย เนื้อเอย ปลาก็ดี มังสวิรัติก็มีนะเออ ประเภทเส้นอุด้งนี่อร่อยไม่แพ้ต้นตำหรับเลย

ซาซิมิรวมชุดใหญ่ 420 บาท แกล้มชาข้าวคั่วหอมๆที่เติมน้ำร้อนได้ยันปิดร้าน

เมนูยอดฮิตของร้าน "สลัดปลาดิบ" ต้องลอง!!! อร่อยสด จานใหญ่ ถูกใจถูกปากสุดๆ ในราคาเพียง 220 บาท

ภายในร้าน ผนังรายรอบเต็มไปด้วยเมนูกระดาษชิ้นเล็กชิ้นน้อยแปะไว้เต็มไปหมด เก๋ดี

ทางม้าลายหน้าร้าน ที่ปูทางสู่ประตูสไลด์สุดเก๋บานนั้น

"ย้อนแยงสุนทรียะและสหายโภชนา" เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นขนาดกะทัดรัดสุดติสต์ที่ชื่อย้าวยาวที่อร่อยในชื่อเสียงเรียงนามเป็นตำนานเดิมว่า "ฮาเทน่า" ไว้กับย่านนิมมานเหมินทร์หลายปีก่อนและมีสาขาที่โอซาก้าด้วยนะเออ ฝีมือดีอร่อยไม่มีตกโดยเจ้าของเดิมคนนี้ในทำเลใหม่ที่ตั้งอยู่ในโครงการอาคารพาณิชย์ MALADA ฟากที่ติดถนนต้นๆสี่แยกทางขึ้นสะเมิง จุดสังเกตหน้าร้านคือ บนถนนเพ้นท์สีขาวเป็นทางม้าลายดึงจุดสนใจให้กวาดตาไปยังร้านที่เป็นประตูสไลด์บานไม้เล็กๆ พอมุดเข้าไปปุ๊บ จะรู้สึกเหมือนนั่งในร้านเหล้ายาปลาปิ้งที่โอซาก้า ภายในร้านตกแต่งแบบจับแพะผสมแกะที่ออกมาเก๋ไม่ซ้ำใคร ผนังแปะสารพันเมนูที่ดูเป็นงานศิลปะได้ซะงั้น ทางร้านรับรองลูกค้าได้ไม่มากและมีที่นั่งเพียง 5 โต๊ะกับที่นั่งหน้าบาร์อีกราวๆ 8 ที่นั่ง และเปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 17.30 – 24.00 น.

สำหรับนักดื่มคอสาเกที่นี่มีให้เลือกทั้งสาเกแบบร้อนและเย็น เบียร์เลิฟเวอร์ก็มีตัวเลือกให้ทั้งเบียร์ไทยและเบียร์พี่ยุ่นอย่างคิรินเบียร์ที่มาแนวเบาลื่นคอ แต่หากคอไวน์นั้นไซร้เจ้าของร้านเค้าใจดีให้หอบหิ้วเอามาเองได้โดยไม่เสียค่าเปิดขวดแต่อย่างใด

การตกแต่งภายในคาเฟ่แห่งนี้แม้จะใช้วัสดุพื้นๆที่เห็นกันอยู่ทั่วไปแต่กลับดูล้ำได้ด้วยรูปแบบที่ผสมผสานพลิกแพลงจากไอเดียการตกแต่งของเจ้าของร้านซึ่งเป็นนักสร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่เปิดทั้งแกลเลอรี่และร้านขายผลงานศิลปะอยู่ในบริเวณเดียวกันจนเกิดบรรยากาศการออกแบบตกแต่งร้านที่ใหม่ล้ำ  ตัวร้านในโซนห้องแอร์แม้จะเล็กกะทัดรัดรองรับลูกค้าได้เพียงไม่กี่โต๊ะ แต่หากลูกค้ายินดีนั่งรับไอแดดระหว่างวันก็ยังมีพื้นที่นั่งรายรอบร้านที่นั่งปล่อยสายตามองดูชาวนิมมานเนี่ยนผ่านไปมาได้สบายๆ ทั้งโซนหน้าร้านให้อารมณ์คาเฟ่ริมทางรับแดดอุ่นแบบเมืองนอกเมืองนา หรือหลังร้านที่จะเป็นโซนแกลเลอรี่ให้ดื่มด่ำกับผลงานศิลปะอย่างที่สุดเหมาะทั้งคู่รัก กลุ่มเพื่อนหรือแม้แต่ครอบครัวที่มีลูกเล็กเด็กน้อย มีมุมถ่ายรูปสวยๆ จิบกาแฟหอมๆ ไปพลาง นั่งทอดอารมณ์ไปเพลิน หมดวันไม่รู้ตัว WIFIแรงๆที่นี่ก็มีให้เล่นฟรีกันอีกด้วย

ที่เก๋ไม่แพ้การตกแต่งคงจะเป็นเมนูต่างๆที่ทางร้านหอบเอากลิ่นอายของอาหารเช้าแบบตะวันตกหรือบรันช์แบบซีกโลกใต้อย่างออสเตรเลีย นิวซีแลนด์มาให้ได้ลิ้มลอง ในชื่อเมนูไอเดียแจ่ม เช่น Granola Yogert Fruit (เมนูนักบิน) ราคา110บาท ซึ่งเป็นโยเกิร์ตโฮมเมดอุดมไปด้วยธัญพืช ทั้งข้าวโอ๊ต เมล็ดถั่ว และผลไม้ตามฤดู เสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำผึ้ง เพื่อเพิ่มความหวานตามใจชอบ

หรือ จานอื่นๆเช่น  Fruity French Toasts ราคา115บาท ขนมปังนำไปทอดสไตล์ฝรั่งเศส ราดด้วย Maple Syrup สุดเข้มข้น Topping ด้วยผลไม้ ไม่หวานเกินไปและ ไม่เลี่ยนเลย อร่อยได้สุขภาพดีด้วย เมนูอื่นๆทั้งเครื่องดื่ม ของคาว ของหวานอีกหลายต่อหลายเมนูก็รสดีไม่แพ้หน้าตา

สรุปว่าเราประทับใจร้านนี้มากเลยค่ะ พนักงานคอยต้อนรับและเทคเเคร์เป็นอย่างดี หมั่นถามว่าต้องการความหวานระดับไหน เจ้าของร้านคนสวยเองก็เป็นกันเองมาก ชวนพูดคุย ยิ้มแย้มบริการดีทุกคนเลย

แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงแต่ยานอวกาศลำนี้ลำเลียงเราไปได้ถึงดาวสุขเลยค่ะ

“SS1254372 Café” เป็นคาเฟ่ชื่อแปลกหู มีหน้าต่างกลมๆดูติสต์แปลกตา ที่ตั้งอยู่ซอยนิมมานเหมินทร์ 17 หรือตรงบริเวณเดียวกันกับ Seescape Gallery ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเก๋ไก๋แปลกตาชวนให้เรานึกครึ้มนัดพบปะเพื่อนเก่าที่นี่ในสายวันหยุด แล้วเราก็เพลินกับการค่อยๆถอดรหัสของชื่อร้าน เสพบรรยากาศสบายๆ ชิคๆที่นี่ พอๆกับการละเลียดเครื่องดื่มเคล้าคลออาหารจานไลท์ๆเบาๆ “SS” ที่แท้ก็เป็นคำย่อของ Seescape Spaceship ซึ่งจำลองความรู้สึกของยานอวกาศลำเลียงเสบียงอาหารมายังคาเฟ่แห่งนี้ และตัวเลข “1254372” ก็มาจากความยาวสังกัดหน่วยเป็นมิลลิเมตรตั้งแต่หัวจนถึงท้ายลำของยานฯซึ่งก็คือร้านนี้นั่นล่ะ

เป็นร้านที่เหมาะสำหรับครอบครัว และผู้คนทุกวัย -- กินข้าวอิ่ม กินขนมต่อ กินกาแฟรอ ครบครัน

เราเติบโตขึ้นมากับการเลี้ยงดูของยาย สองยาย ซึ่งคือยายคนที่เป็นแม่ของแม่  และยายคนที่เป็นพี่สาวแท้ๆของยาย จะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ที่ทำให้ยายคนที่เป็นแม่ของแม่ต้องกลายเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวลูกๆซึ่งล้วนเป็นลูกสาวถึง 5 คนในสมัยนั้น ยายคนที่เป็นพี่สาวแท้ๆของยายจึงยื่นมือเข้าช่วยเลี้ยงดูเด็กๆเหล่านั้น จากเลี้ยงดูคนรุ่นลูก ลามมายังเลี้ยงดูคนรุ่นหลานอย่างเรา การเลี้ยงดูเราของยายทั้งสองคนมันรวมไปถึงการหุงหาอาหารการกินที่ไม่ได้ทำให้เราจดจำเพียงแค่รสมือแต่มันคือการส่งผ่านความประทับใจในช่วงเวลานั้นๆกับอาหารจานนั้นๆในแต่ละวันด้วย ทั้งสองยายคอยประณีตไปทุกขั้นตอนเมื่อเข้าครัว ไม่ว่าจะเลือกผัก ขูดมะพร้าว คั้นกะทิ ยันโขลกน้ำพริก เครื่องแกง เองกับมือ และยายๆมักจะมีรอยยิ้มเปื้อนหน้าเมื่อสมาชิกในบ้านกินแล้วชมว่าอร่อย

...แต่วันนี้ทั้งสองยายจากเราไปนานแล้ว และเราย้ายหลักมาปักฐานไกลจากถิ่นเดิมมาก อีกทั้งการใช้ชีวิตที่เร่งรีบแทบทุกวันไม่เว้นแม้แต่การทานอาหารแต่ละมื้อ คิดถึงรสมือยายทีไร เราจึงบึ่งรถมาทานอาหารที่ร้านอาหาร “ครัวย่า” เพื่อเรียกความทรงจำเก่าๆและให้คลายความคิดถึงรสมือยายลงบ้าง

“ครัวย่า” ตั้งอยู่ในหมู่บ้านเชียงใหม่เลคแลนด์ ซึ่งอยู่บนถนนเลียบคลองชลประทานมุ่งหน้าไปอำเภอหางดง อยู่ห่างจากแยกตลาดต้นพยอมประมาณ 5 กิโลเมตร สังเกตุป้ายร้านส้มตำโซลาวเลยมาอีก 200 เมตรก็จะพบทางเข้าหมู่บ้านเชียงใหม่เลคแลนด์ สามารถขับรถเข้าไปได้เลยมีป้ายบอกทางโดยตลอดรับรองไม่มีหลง “ครัวย่า” แบ่งเป็น 2 โซน คือ บริเวณร้านอาหาร และ ร้านกาแฟเล็กๆที่ชื่อ A/sa/ma Café ที่ตั้งอยู่ริมสระน้ำ โดยเมื่อเดินเข้ามาในร้านสิ่งแรกที่เห็น คือความเรียบง่ายและสะอาดเรียบร้อย ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ที่ปลูกไว้โดยรอบ ที่นี่ จะแบ่งเมนูอาหารเป็น อาหารพิเศษประจำวัน หากไปตรงวันไหน ก็จะมีเมนูพิเศษนั้นไว้บริการ เช่น วันจันทร์ข้าวยำ, วันอังคาร มีก๋วยเตี๋ยวหลอด, วันพุธ ก๋วยเตี๋ยวหมูสับ, วันพฤหัส ข้าวผัดขมิ้นปลาทอด, วันศุกร์ ข้าวซี่โครงหมูอบ, วันเสาร์ ข้าวน้ำพริกกุ้งสด และอย่างวันอาทิตย์ เป็นก๋วยเตี๋ยวเซียงไฮ้  และนอกจากเมนูอาหารพิเศษประจำวันแล้ว เมนูจานเดียวที่ทั้งข้าวคลุกกะปิ ขนมจีนหลากน้ำ หรืออาหารทานเล่น ก็มีให้เลือกหลากหลายทุกวัน

วันนี้ เราสั่งอาหารจานหลักเป็น “ข้าวคลุกกะปิ” ส่วนน้องสาวสั่ง “ข้าวหมูย่าง” และน้องชายเลือกสั่ง “ขนมจีนซาวน้ำ” เพราะน้องชายเห็นว่าหาทานยากมากในสมัยนี้ ทุกจานที่เสิร์ฟนั้นได้รับการบรรจงแต่งมาอย่างประณีตเหมือนภาพที่อยู่ในเมนูเป๊ะ เกินนิยาม “ภาพตกแต่งเพื่อการโฆษณาเท่านั้น” ไปไกลโข เริ่มจากอาหารจานหลักตรงหน้าของเรา “ข้าวคลุกกะปิ” เครื่องหน้าที่เห็นอย่างไข่เจียวสีเหลืองสวยหั่นเส้นยาวละเอียดนั้น ไม่อมน้ำมันเลยแม้แต่น้อย หมูหวานนุ่มรสกลมกล่อมเราชอบหมูหวานแบบนี้ที่ไม่ต้องติดมันมากจะได้ไม่ต้องตัดหรือเขี่ยออก มะม่วงดิบซอย หอมแดงซอย พริกขี้หนูสวนซอย กุ้งแห้งทอด และมะนาวซีกใหญ่ แอบชิมเฉพาะข้าวคลุกกะปิก่อนที่จะคลุกทุกอย่างรวมกัน มันทำให้เราคิดถึงยายที่สุดเพราะกลิ่นกะปิดีหอม เมื่อนำมาผัดกับข้าวหุงเม็ดสวยเลยทำให้รสชาติดี สีสวยมาก แถมข้าวผัดได้ร่วนแห้งแบบที่เราชอบเลย มัวชื่นชมข้าวคลุกกะปิของตัวเอง จนเกือบลืมแย่งชิมจานหลักของน้องที่แอบหมายตาทั้งขนมจีนซาวน้ำ และข้าวหมูย่างที่ต้องบอกว่าเป็นเมนูที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่พอได้ชิมปุ๊บ ถึงกับออกปากว่า อร่อยมาก!!! ตัวหมูย่างฉ่ำเข้ากันกับน้ำจิ้มที่ให้มาทั้งแบบแจ่วและสามรส เล่าไปน้ำลายไหลไป --- คิดถึง"ครัวย่า" และคิดถึงยายไม่แพ้กัน

 “ครัวย่า” เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 9.30 – 14.00 น. หยุดเฉพาะวันที่ 1 และ 16 ของทุกเดือน
รายละเอียดเพิ่มเติม  facebook.com/kruayacm

บนถนนเลียบคลองชลประทานไปทางตำบลแม่เหียะ ไม่ไกลจากหลังมช. นัก เป็นที่ตั้งของ “หมู่บ้านเชียงใหม่เลคแลนด์” ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่ดูขรึมขลังด้วยซุ้มประตูไม้เก่ากรุรอต้อนรับตรงทางเข้า และหมู่บ้านแห่งนี้กลับเป็นที่ซ่อนตัวร้านกาแฟเล็กๆ แต่ไม่ลับไว้ เป็นร้านกาแฟหนึ่งในไม่กี่ร้านที่ถูกจริต ถูกใจคอกาแฟแท้ๆ ด้วยเมล็ดกาแฟที่ทางร้านคัดสรรมาเป็นอย่างดีประกอบกับฝีมือการชงกาแฟขั้นเทพของบาริสต้าสาวที่ควบตำแหน่งเจ้าของร้านซึ่งกวาดรางวัลการชงกาแฟมาการันตีเพียบ รับรองว่ามาร้านนี้แล้วจะอยากผูกขาดรสชาติกาแฟที่นี่แน่ๆ

ด้วยความที่ตัวร้านตั้งอยู่ในรั้วเดียวกับกับร้านอาหาร “ครัวย่า” ซึ่งเป็นร้านอาหารเก่าแก่เปิดมานานในบรรยากาศสวนสวยติดสระน้ำ ตัวร้านที่เป็นห้องแอร์แม้จะเล็กกลับแลดูโปร่งสบาย เป็นกันเอง มองทะลุไปยังสวนด้านนอกที่ร่มรื่นได้ ทางร้านมีที่นั่งหลากหลายให้เลือกนั่ง ไม่ว่าจะนั่งจิบกาแฟในสวนหย่อมบนลานกรวดซึ่งจัดที่นั่งไว้พอหลวม รับลูกค้าได้เป็นกลุ่มโดยไม่ทำให้อึดอัด หรือจะเลือกนั่งชิงช้าริมสระก็ยังได้  จิบกาแฟไปพลาง นั่งชมวิวไปเพลิน อยู่เป็นวันๆได้ไม่มีเบื่อเลย

จุดที่ปังตั้งแต่เมื่อแรกสาวเท้าเข้าร้าน คือ เจ้าเครื่องชงกาแฟที่รูปทรงเก๋ไม่น้อย แถมคำโก้หราหน้าเครื่องพะยี่ห้อ Spirit ก็ช่างกระชากใจให้คว้ากล้องมาแชะรูปเก็บไว้ ก่อนจะไต่ถามที่มาที่ไปจนได้ความว่าเป็นเครื่องชงกาแฟที่สั่งทำขึ้นมาพิเศษ ส่งตรงมาจากเนเธอร์แลนด์ ราคาค่าเครื่องไม่ต้องพูดถึง แต่ช้าก่อน --- ราคากาแฟแต่ละแก้วกลับเป็นมิตรกับกระเป๋าเราอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างเมนู Signature ของทางร้านอันเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร อย่าง Gravity (90 บาท) ที่การนำเอสเปรสโซ่ร้อน ราดลงบนนมและครีมเย็น กาแฟก็จะค่อยๆ ละลายส่วนของนมกับครีมช้าๆ วาดลวดลายตามแรงโน้มถ่วงให้เห็นในแก้วใสที่เสิร์ฟมา แค่ได้ยินชื่อก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นและเมื่อได้ลิ้มรส แทบลืมกาแฟทุกแก้วที่เคยดื่มมา Gravity แก้วนี้น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของคนรักกาแฟทั้งร้อนและเย็นได้ไม่ยาก หรือคอกาแฟแกล้มของหวาน แนะนำ Espresso Panna Cotta ที่ทางร้านทำสดใหม่ทุกวันและแต่ละวันมีเสิร์ฟเพียงไม่กี่แก้ว ถือเป็นอีกไฮไลท์ที่ให้รสชาติกาแฟกลมกล่อมเข้ากับเนื้อนวลเนียนของพันนาคอตต้าเป็นอย่างดีเป็นเมนูที่ห้ามพลาด แต่สำหรับลูกค้าที่ไม่ใช่คอกาแฟก็อย่าได้น้อยใจ แนะนำ โกโก้ร้อนที่หวานน้อยแต่เข้มข้นกลมกล่อมลงตัวไม่น้อยหน้ากาแฟเลย สำหรับขนมที่นี่ แม้จะมีน้อยชิ้น น้อยอย่าง แต่แนะนำเลย ว่าอร่อยทุกอย่างและทุกครั้งที่แวะเวียนมา ก็เปลี่ยนชนิดขนมไม่ซ้ำ หากยังไม่จุใจ ก็สามารถซื้อหากาแฟเย็นบรรจุในแพคเกจสวยกลับบ้านไปด้วย

คอกาแฟและนักเสพบรรยากาศไม่ควรพลาดร้านกาแฟดีแห่งนี้ด้วยประการทั้งปวง
ข้อมูลเพิ่มเติม : facebook: facebook.com/AsamaCafe
เวลา : 8.00 – 16.00 น. เปิดทุกวัน หยุดทุกวันที่ 1 และ 16 ของทุกเดือน 

ยกมื้อนี้ให้เป็นรางวัลที่แสนพิเศษเลยก็ว่าได้ ด้วยความแปลกใหม่กับการที่ทางร้านรังสรรค์อาหารหน้าตาดีโดยนำเอาเทคนิคทางวิทยาศาสตร์การอาหารใหม่ๆมาผสมผสานกับศิลปะในการปรุงอาหารที่พิถีพิถันในทุกขั้นตอน แถมรสชาติยังไม่ธรรมดา ทำให้ประสบการณ์ในการละเลียดชิมอาหารมื้อแสนวิเศษนี้เป็นที่จดจำประทับใจ ยิ่งเฉพาะคู่รักที่ต้องการพาคนรักของคุณไปออกเดท ทานอาหารอร่อยๆ บรรยากาศเรียบง่ายแต่งามสงบ เราแนะนำให้ลองพากันไปสัมผัสมื้อดีๆ สักครั้ง ที่ Cuisine de Garden

ที่นี่เสิร์ฟอาหารจานย่อม จัดแต่งมาสวยๆขนาดจิ๋วลิ๋วน่ารัก โดยสามารถเลือกในเมนูเพื่อจัดชุดอาหารเป็นเซ็ต 1 Starter + 1 Main สนนราคาคอร์สละ 699 บาท และ 1 Starter + 1 Main + 1 Dessert ในราคาคอร์สละ 799 บาท ดังนั้น ถ้ามากันหลายคนก็มีโอกาสได้แชร์และเลือกทานหลายเมนู นอกจากนั้นขนมปังที่เสิร์ฟ ตลอดจน appetizer ของว่าง ซุป ยังได้ถูกจัดเสิร์ฟตามแต่ละช่วงเวลาอย่างเหมาะสม สวยงาม มีการเสิร์ฟไอศกรีม Sorbet รสเปรี้ยวอมหวานไว้ตัดรสชาติเพื่อเปลี่ยนจากจานอาหารหลักเข้าสู่เมนูของหวานด้วย

วันนี้เราลองรีวิวอย่างย่นย่อกับเมนูเด็ดที่เลือกสั่งไปในครั้งนี้นะคะ เริ่มต้นด้วยเมนูชายฝั่งชื่อได้อารมณ์ทะเลอย่าง Coast to Coast: Hokkaido Scallop with tomatoes salsa, edible shell lime air เป็นเมนูหอยเชลล์ฮอกไกโดที่จัดวางบนข้าวเกรียบรูปเปลือกหอยสีเข้ม เสิร์ฟพร้อมซัลซ่ามะเขือเทศและโฟมมะนาว หรือ Starter จานฮอตฮิตอย่าง The Nest: Onzen Eggs with chicken fibre & crispy rice nets ซึ่งประดิดประดอยด้วยไข่ลวกที่ต้มในอุณหภูมิคงที่จึงสุกมากำลังดีทาน ข้างในเป็นไข่แดงยางมะตูมให้ความรู้สึกว่าไข่ผ่านการแช่น้ำอุ่นสงบราวกับออนเซ็น ตอกไข่ง่ายดายโดยไข่ไม่ติดเปลือกแม้แต่น้อย วางท้อปปิ้งบนรังหมี่กรอบและเส้นไก่ฉีกปรุงรสเค็มๆมันๆ อร่อยดี ส่วนเมนูหลักอื่นๆก็ตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจและอร่อยไม่แพ้กันเลย

การทานอาหารสวยๆ จำเป็นต้องทานเพียงแต่น้อยพออิ่มท้อง (ไม่อืดแน่นพุงจนเกินไป) หลังจากเพลิดเพลินกับอาหารนานาชนิด ช่วงหวานๆของชีวิตก็ดำเนินมาถึง เราเลือก Sphere ซึ่งเป็นน้ำผลไม้ในรูปทรงกลมสีสดจี๊ดใจ ที่ข้างในเป็นน้ำผลไม้ รสชาติหนักไปทางส้มที่มีเจลาตินบางๆ เคลือบไว้ เสิร์ฟใส่ช้อนไม้ ที่แว่บแรกคิดว่าเป็นไข่แดง แต่จริงๆ แล้วมันคือของหวานล้างปากที่พออมทั้งช้อนเข้าไปเราจะรู้สึกเหมือนน้ำส้มมันสาดซ่าน splash ในปากสดชื่นเลย ไหนจะ The Rock ที่เป็นไอศกรีมโยเกิร์ตแช่เย็นเจี๊ยบให้รสชาติแปลกแตกต่างมาก

ต้องยกมื้อนี้เป็นมื้อที่ดีที่สุดมื้อหนึ่งในชีวิตจริงๆ เราประทับใจความคิดสร้างสรรค์ บรรจงทุกเมนูให้มีเรื่องราวชวนติดตาม น่าสนใจ อีกทั้งพนักงานทุกคนยังคอยดูแลใส่ใจบริการด้วยความเต็มใจ คอยแนะนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์ที่ช่วยเพิ่มอรรถรสการทานอีกหลายเท่า เบ็ดเสร็จสำหรับการทานกัน 2 คน มื้อนี้จ่ายไปเกือบ 2,000 บาท รวมค่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แม้จะแพงกว่ามื้อทั่วๆ ไป แต่ก็นับเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่คุ้มค่าและไม่ได้ทำให้รู้สึกว่า เสียดายเงินเลยแม้แต่น้อย ด้วยที่ตั้งอยู่ในซอยวกวน แถวๆ ต.หนองควาย อ.หางดง เราแนะนำให้โทรสอบถามเส้นทางและจองโต๊ะก่อนที่เบอร์ 053-441599 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 081-7741479 โดยร้าน Cuisine de Garden เปิดทุกวัน ในช่วงเที่ยง ราวๆ 12:00-14:00 น. และช่วงเย็น ประมาณ 18:00-22:00 น.

บ่ายแก่ๆ วันนี้ เราจะพาไปชิมอาหารไทยรสชาติจัดจ้านกับร้านที่มีวิวสวยแถมให้เราดื่มด่ำบรรยากาศดีๆ เจริญทั้งตา ทั้งใจ ทั้งพุงกัน ร้านชื่อบ้านๆ “บ้านดงวิวดอย” อยู่ในซอยเล็กๆแคบชัน ฝั่งตรงข้ามสวนบัวรีสอร์ทเลยค่ะ ขับรถชิลล์ขึ้นไปทางเส้นถนนหางดง-สะเมิง ต.บ้านปง อ.หางดง จ.เชียงใหม่นั่นล่ะ หากเกรงจะหลง โทรตรงหาเจ้าของร้านที่เบอร์ 081 9518888 หรือ 086 6545555 เวลาให้บริการของทางร้าน 10.00 - 23.00 น. โดยประมาณ
 
ร้านที่มีอาหารอร่อย ราคามิตรภาพ ท่ามกลางวิวสวย อากาศสะอาดสูดหายใจได้ฉ่ำปอด เงียบสงบเป็นส่วนตัว ของแบบนี้ใช่ว่าจะหากันง่ายๆ ถือได้ว่า “บ้านดงวิวดอย” เป็นเพชรเม็ดงามท่ามกลางขุนเขาและตำบลบ้านปงแห่งนี้เลยโดยแท้ ดูบรรยากาศที่มีภูเขาเป็นฉากหลังพร้อมไอหมอก ไหนจะมุมกว้างๆเห็นวิวสวย 360 องศาจากด้านบนร้านอาหารที่อีกฟากเขาเป็นดอยปุยสิคะ เพิ่มความเจริญอาหารอีก 500 แต้ม
   
แรกเริ่มเดิมที ทางเจ้าของร้านมีบ้านวิวสวยอยู่แล้วในแถบนี้ แล้วเกิดปิ๊งไอเดียอยากเปิดร้านอาหารรสชาติอร่อยจากฝีมือตัวเองดูบ้าง โดยใช้รังสรรค์เป็นอาหารจานเด็ดอร่อยๆให้คนทานจากสูตรและความรู้แบบฉบับตนเองแท้ๆ   พอรวบรวมอุดมการณ์อันแน่วแน่ได้เช่นนั้น  แกก็ไม่ลังเลรีบเปิดร้านให้บริการกันมาตั้งปี 2552 ภายใต้ชื่อ “บ้านดงวิวดอย” อาหารที่นี้ส่วนใหญ่จึงเป็นอาหารไทย แกล้มได้ทั้งข้าว เหล้า และเบียร์ มีเมนูหลายอย่างที่อร่อยๆให้ได้เลือกทานกันตั้งแต่เมนูของเด็กน้อย ยันผู้ใหญ่ ผู้เฒ่า ผู้แก่

เราเลือกสั่งทั้งอาหารแกล้มข้าว อย่าง มะระผัดไข่ สะตอผัดกุ้ง อาหารแกล้มเบียร์อย่างสามชั้นทอดกระเทียม อาหารแนะนำ อย่างส้มตำทอด กระทั่งเมนูอื่นๆ จานแล้วจานเล่า แต่ละจานไม่ผิดหวังเลย มาปุ๊บปั๊บเกลี้ยงจาน คงไม่ต้องให้เดาว่าอร่อยแค่ไหน  กินพลาง ชมวิวพลาง คุณผู้ชายหากอิ่มๆอยากยืดเส้นยืดสาย ทางร้านเค้ามีโต๊ะพูลให้เล่นเพลินๆด้วยค่ะ

นอกจากวิวเทพ อาหารอร่อยเทพแล้ว ที่นี่ยังให้บริการที่พักซึ่งภายในมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบ ทั้งทีวี เครื่องทำน้ำอุ่น ภายในห้องกว้างขวาง สะอาด เรียบร้อย แม้ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ที่นี่ก็คงนอนสบายด้วยอากาศมันเย็นอยู่แล้ว ที่สำคัญเจ้าของร้านยังใจดี มี Wi-Fi แรงๆให้เล่น จะมาเป็นคู่ หนุ่มสาว เป็นครอบครัว ลูกเด็กเล็กแดง เป็นกลุ่มใหญ่เพื่อนฝูงก็แวะมาสัมผัสกันได้ ไม่ผิดหวัง

อ่อ ไหนๆก็มาแล้ว ไม่ควรพลาดสำรวจห้องน้ำที่นี่นะคะ.....ของครบ สยบโรงแรมบางแห่งได้เลย
น้ำหอม แฮนด์วอช แฮนด์ครีม คอตตอนบัต หวี ผ้าอนามัยแบบหนา แบบบาง แป้ง ออยล์ ไม้จิ้มฟัน สำลีแบบแผ่น ฯลฯ
ที่สำคัญ!!! มีฮอลล์ด้วย เอิ่มมมม เราเดาเอาว่า ไว้อมตอนนั่งโถส้วม ซาบซ่า ผ่อนคลาย...

เดิมทีเคยได้แวะเวียนไป FABB Cafe แถวๆเอกมัย กทม.บ้าง พอรู้ว่า FABB Cafe มาเปิดสาขาที่เชียงใหม่ เลยตั้งใจแวะไปชมบรรยากาศและชิมกาแฟสาขาใหม่นี้ซะหน่อย มั่นใจว่าร้านจะดูมีสไตล์ไม่ต่างจะต้นฉบับสาขาแรกและหวังจะลองกาแฟนำเข้ามากมายหลากหลายสายพันธุ์

ร้าน FABB Cafe หาไม่ยากเลย ถ้ามาจากตลาดแม่เหียะ พอถึงแยกไฟแดงตรงเทศบาล อบต.สุเทพ ก็ชะลอเลียบเข้าเลนซ้าย จะเจอ 7/11 และป้ายคุ้มเวียงยองใหญ่โตด้านซ้ายเช่นกัน เลี้ยวเข้าไปเลยค่ะ ร้านอยู่โครงการนั้นแหล่ะ มีที่จอดรถด้านหน้าร้านและหาไม่ยากเลย ร้าน FABB Cafe เปิดประมาณ 8โมงเช้า เลยรวดไปถึงมื้อค่ำ

บริเวณโดยรอบนอก ด้านหน้าร้านปลูกดอกไม้เล็กๆพอประมาณ มีต้นไม้ต้นใหญ่อยู่กลางลานแต่ใบน้อย ร่มเงาไม่มี ช่วงกลางวันจึงค่อนข้างร้อน ไม่เหมาะที่จะนั่งชิลล์รับไอแดดประหนึ่งชาวต่างชาติ แม้ที่นั่งด้านนอกจะมีมุมให้เลือกนั่งสวยๆหลายโต๊ะแถมแต่ละโต๊ะก็มีร่มบังแดดให้ด้วย แต่แดดก็คือแดด ร้อนแรงจริงๆ ไอร้อนทะลุร่มได้ ควรเลือกนั่งด้านในดีกว่า

ผลักบานประตูเข้าเดินเข้าไปด้านใน กลางร้านเป็นที่ตั้งเคาท์เตอร์ชงกาแฟ มีป้ายระบุหลากหลายเมนู หรือจะสั่งจากเมนูที่ปริ้นท์เป็นแผ่นๆอยู่บนเคาท์เตอร์เลยก็ได้ ส่วนตกแต่งโดยรอบในร้าน ยังมีโต๊ะอีกตัวที่เอาเมล็ดกาแฟที่ยังไม่ได้คั่วมาใส่โหลโชว์ มีสินค้าจุกจิกชิ้นเล็กชิ้นน้อยวางขาย พวกช้อนไม้ รองเท้าแตะ กาแฟบรรจุถุงด้านซ้ายของห้องจะมีเมล็ดกาแฟบรรจุถุงวางขาย บนผนังเต็มไปด้วยชั้นโชว์เมล็ดกาแฟจากที่ต่างๆ มันเยอะมาก ราคาก็มีตั้งแต่เอื้อมไหวไปจนถึงราคาสูงเลย ลายตาเลยทีเดียว

เมนูเครื่องดื่มที่มีให้เลือกมากมาย ถ้าคิดไม่ออก คงต้องถามพนง.ร้าน ให้ช่วยแนะนำ กาแฟแต่ละแบบ ทั้งร้อน เย็น ดริป หรืออื่นๆ แต่สำหรับเรา เคยมีประสบการณ์กับร้าน FABB Cafe ที่กทม.แล้ว ทึ่งกับ Iced Latte ที่เสิร์ฟแปลกแตกต่างเพื่อให้คนดื่มกาแฟได้สนุกกับการปรุงชิมตามแบบที่ตนเองชอบ ถือเป็นเสน่ห์ของร้านอีกอย่างที่เราชอบ

คราวนี้ เราเลยแนะให้น้องเราเลือกสั่ง Iced Latte มาปรุงชิมตามที่น้องชอบ สนุกๆ ส่วนเราลองชิมแบบดริปดูบ้างโดยเลือกกาแฟสายพันธุ์ South Africa ที่เข้มแปลกมีรสผลไม้เปรี้ยวพวกเบอรี่ติดลิ้นนิดๆด้วย และพลาดไม่ได้ ขนม ของว่าง ทั้งพันนาคอตต้า และ ชีสเค้กมะม่วง อร่อยมากกกกกกกก เนื้อแน่น ลงตัวค่ะ หอมมากๆ ไม่หวานจนเกินไป

อาหารหลัก หรือ อาหารทานเล่นอื่นๆก็มีให้ลองชิมเช่นกัน เป็นร้านที่เหมาะมานั่งชิลล์ คุยงาน หรือ นัดพบปะสังสรรค์ยามบ่ายก็สะดวกดีไม่น้อยเลยค่ะ

สำหรับคู่รักที่ผ่านการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันหลายต่อหลายปี การไปเอ้าท์ติ้งหรือฮันนีมูนนับเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยกระชับความสัมพันธ์ไม่ให้พร่อง คู่ของเราก็เช่นกัน มักเลือกสถานที่พักเพื่อสร้างบรรยากาศรักให้แน่นแฟ้น สำคัญกว่านั้นเรามักเข้าไปสำรวจราคาเพื่อเทียบโปรฯ พิเศษที่สุด (คุ้มที่สุดว่างั้น)

และในเดือนสิงหาคมอันเป็นช่วงความชุ่มฉ่ำแห่งฤดูฝน ที่ว่ากันว่าเป็นช่วงโลว์ของฤดูกาลท่องเที่ยวเชียงใหม่ แต่เรากลับชอบเพราะความเขียวชะอุ่มชุ่มชื้นของต้นไม้ มองไปทางไหนช่างสบายตาสบายใจ ที่สำคัญโรงแรมที่พักหลายแห่งมักจะมีโปรโมชั่น ยั่วใจคู่รักนักเดินทางอย่างเราให้ได้มีโอกาสใช้บริการสุดหรูในราคาที่พอเอื้อมถึง ครั้งนี้เราโชคดีมากที่เข้าไปสำรวจราคาโปรฯของโรงแรม Veranda the high resort เชียงใหม่โดยตรง ในราคาพิเศษที่รวมอาหารเช้าสำหรับ 2 คนไว้เรียบร้อย ไม่รอช้าเรารีบจองและล็อคเวลาสุดที่รักทันทีเพียงไม่ถึง 2 สัปดาห์ล่วงหน้าก่อนวันเกิดสุดที่รักอีกต่างหาก

อากาศที่เชียงใหม่ในช่วงนั้นฝนปรอย ฟ้าครึ้มอึมครึม ตลอดทั้งวัน แต่ไม่มีปัญหาสำหรับคู่เราอยู่แล้ว ด้วยตั้งใจจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในรีสอร์ท และห้องพักให้คุ้มค่า เราไปถึง Veranda the high resort เชียงใหม่ในเวลาบ่ายแก่ จอดรถเสร็จปุ๊บ พี่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็รีบแจ้งพนักงานให้นำรถบัคกี้มารับพวกเราพาขึ้นไปเช็คอินที่ล็อบบี้ซึ่งตั้งอยู่ด้านบน แม้เราเคยมาทานข้าวมื้อค่ำที่นี่ครั้งนึงแล้วเมื่อหลายปีก่อนตั้งแต่รีสอร์ทเปิดใหม่ๆ แต่ไม่มีโอกาสสำรวจบรรยากาศทั่วไป มาคราวนี้ยังรู้สึกได้ว่า บรรยากาศมันฉ่ำเย็นสบาย เขียวขจีด้วยต้นไม้ที่สูงใหญ่เติบโตขึ้น

ห้องพักน่าอยู่มาก ห้องกว้างกำลังดี จัดสรรพื้นที่การใช้งานได้ลงตัว ห้องพักที่เราจองครั้งนี้ มีอ่างอาบน้ำในห้องทำจากหินเก็บอุณหภูมิน้ำร้อนได้ดี หลับตาแช่ตัวไปแอบมโนไปถึงออนเซ็นด้วยค่ะ ห้องพักบนชั้นที่เราพักครั้งนี้ มีความพิเศษตรงที่มีสระน้ำเล็กที่หน้าห้องพัก แถมเสียงน้ำรินฟังรื่นหูทำให้บรรยากาศที่ระเบียงห้องดูสวยสงบ นั่งสบายมาก แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ ระเบียงห้องไม่มีส่วนกั้นระหว่างห้องติดกัน เลยรู้สึกไม่ค่อยส่วนตัวนัก ถ้าห้องข้างๆออกมานั่งที่ระเบียงพร้อมๆกันออกจะเขินๆ พอตกเย็นแม่บ้านมาเคาะประตูเพื่อ Turn Down พร้อมกับขนมน่ารักๆ

การมาเยือน Veranda the High Resort ในเครือ M Gallery ในครั้งนี้ เราจึงตั้งใจสำรวจบริเวณสวยๆและใช้บริการส่วนโรงแรมให้ครบเพื่อซึมซับความรื่นรมย์ให้เต็มอิ่ม การออกแบบของรีสอร์ทโดยรวมสร้างความประทับใจให้แขกที่มาพักอย่างเราๆเป็นอย่างดี แม้ว่าโรงแรมจะผ่านมาหลายแดด หลายฝน แต่การบำรุงดูแลที่นี่อย่างดียิ่งทำให้ที่นี่ยังดูสวยสบาย ไม่รู้สึกอึดอัดเช่นโรงแรมมาตรฐานหรูทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นห้องพัก บริเวณ Lobby สระว่ายน้ำ หรือพื้นที่โดยรอบ นอกจากนี้การบริการจากพนักงานทุกๆคนก็ดีมาก ยิ้มแย้มแจ่มใส โดยเฉพาะพนักงานที่ห้องอาหารเช้าที่มีใจบริการที่ดีมากๆ ช่วยเหลือทุกอย่างเต็มที่และด้วยความเต็มใจ สอบถามเชื้อชวนให้เราชิมอาหารหลากหลาย ซึ่งไลน์อาหารเช้าเป็นแบบบุฟเฟต์ ที่มีอาหารให้เลือกแม้ไม่มากแต่ก็ไม่น้อยเกินไป สำคัญกว่านั้นคือ คุณภาพอาหารดีมากๆ เราชอบวาฟเฟิลที่ทำสดๆ หอมเนย เสิร์ฟมาสวยๆพร้อมครีมและแยม นั่งชิม เคล้ากับการจิบลาเต้ร้อน ชมวิวงามๆตรงหน้า เจริญอาหารดีแท้เชียวค่ะ

บะหมี่ไข่เส้นเล็กขนาดฝอยทอง เหนียวนุ่มถูกปาก นอนกลิ้งอยู่ในชามน้ำซุปรสชาติกลมกล่อม แค่กลิ่นหอมๆ ก็ ทำเอาเราแทบไม่อยากหนีไปไหน เรากำลังพูดถึง เมนูหนึ่งของร้าน “โกข้าวมันไก่ ก๋วยเตี๋ยวหมู” ที่ตั้งอยู่ ริมถนน เชียงใหม่-ฮอด อยู่ในเขตตำบลหนองตอง อำเภอหางดง (เลยจากเขตชุมชน อำเภอหางดง ค่อนออกมาเกือบจะถึงบิ๊กซี หางดง 2 ตัวร้านอยู่ฝั่งซ้ายมือหากมาจาก ตัวเมือง)

เส้นทางถนนเชียงใหม่-ฮอด เป็นหนทางหลักที่แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติหลายแห่งกระจุกตัวอยู่ ทั้ง ดอยอินทนนท์ แม่แจ่ม และวัดสำคัญๆหลายต่อหลายแห่ง นักท่องเที่ยวต่างถิ่นมักจะขับรถโดยใช้เส้นทางนี้กันตั้งแต่ช่วงเช้า และมักจะฝากท้องอิ่มกันมาจากโรงแรมบ้าง หรือรีบล่วงเลยจนเกือบจะถึงแหล่งท่องเที่ยวไปแล้วนั่น วันนี้เราแนะนำร้าน “โกข้าวมันไก่ ก๋วยเตี๋ยวหมู” ที่คาดว่าหลายๆคนคงจะถูกปาก ทั้งเมนูข้าวมันไก่ที่ทานง่ายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ที่กลายเป็นเมนูจานด่วนอยู่คู่บ้านมานานที

หากแต่เมนูที่เราชื่นชอบนอกเหนือจากข้าวมันไก่เมนูเด่นประจำร้าน กลับเป็น บะหมี่เกี๊ยวกุ้งต้มยำ บะหมี่แห้ง และก๋วยเตี๋ยวหมูเส้นต่างๆ ด้วยความพิเศษของเส้นบะหมี่ไข่ของที่นี่ ที่มีขนาดเล็กฝอยคล้ายๆกับเส้นบะหมี่โบราณอร่อยๆที่ฮ่องกง ลักษณะเส้นแม้จะฝอยเล็ก แต่ก็นุ่มหนึบหนับ เคี้ยวเพลินถูกปาก บวกกับน้ำซุปหอมอร่อยกลมกล่อม หรือสูตรต้มยำที่ปรุงมาลงตัวครบเครื่อง มันถั่วลิสง กุ้งแห้งฝอย พริกนิด น้ำส้มหน่อย อร่อยบรรยายไม่ถูกกันเลยทีเดียว

แม้จะเป็นอาคารพาณิชย์ 2 คูหาแต่บรรยากาศภายในร้านโอ่โถง สะอาดสะอ้าน แต่ละโต๊ะจัดห่างกัน นั่งสบายๆไม่อึดอัด ที่จอดรถก็สะดวกสบาย สามารถจอดได้ทางข้างหลังร้าน หน้าร้าน หรือกระทั่งข้างร้านตามสะดวก

จัดเป็นร้านที่สามารถฝากอิ่มท้องได้ตั้งแต่เช้าจรดบ่ายแก่ๆ อร่อย ราคามิตรภาพด้วยค่ะ

ณ.กลางวันที่วุ่นวายเช่นเคยวันหนึ่ง เราและบรรดาน้องๆที่ทำงานให้เบื่อบรรยากาศร้านอาหารที่อยู่รายรอบออฟฟิศ น้องคนหนึ่งเสนอไอเดียเด็ด ที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน และกลางวันแห่งความสุขอิ่มอร่อยนั้นก็ได้เริ่มต้น

“บี่เฮียงโภชนา” ร้านนี้ใครๆก็รู้จัก โดยเฉพาะลูกเด็กเล็กแดง ศิษย์เก่า ม.พายัพ เพราะเค้าอร่อยคงเส้นคงวาเสมอ อาหารออกเร็วมากแม้ว่าลูกค้าเบาบางหรือจะแน่นขนัดช่วงเร่งด่วนแค่ไหนก็ตาม ตั้งแต่ 10 ปีก่อน จนวันนี้รสชาติยังคงที่ไม่เคยผิดหวังเลยแม้แต่ครั้งเดียว เมนูของที่นี่ก็เป็นอาหารกึ่งจีน กึ่งไทย กึ่งฝรั่ง อาจจะเรียกได้ว่าเป็นอาหารฟิวชั่นก็ว่าได้ มีการผสมสานทั้งอาหารจานด่วน จานกับข้าว เมนูข้าว เมนูเส้น เมนูเสต็ก สปาเก็ตตี้ และอีกมากมายหลายหลากที่สาธยายไม่หมด ลูกค้าใหม่หลายท่านอาจจะอึ้งกับเมนูที่มีสารพัดรายการยั่วน้ำลาย ที่บอกได้เลยว่า อร่อยทุกอย่าง สั่งอะไรก็ได้ไม่มีทางผิดหวัง

เนื่องจากมื้อนี้ เราไปกันหลายคน จึงได้เห็นหน้าค่าตาอาหารที่หลากหลาย ทั้ง ข้าวไก่ทอดน้ำปลา ข้าวผัดไก่เสต็ก ข้าวผัดน้ำจิ้มแจ่วกุ้งไก่ย่าง ข้าวผัดปลาทอด หมูกรอบสารพัดเมนู ทั้งหมูกรอบจานด่วน ข้าวหมูกรอบทอดกระเทียม ที่ทยอยเสิร์ฟมาอย่างรวดเร็วไม่ขาดช่วง ... หลังจากนั้นแทบไม่มีเสียงอื่นใดแทรกความอร่อยของพวกเราอีกเลยร่วมชั่วโมง ต่างคนต่างตั้งหน้าทานแทบไม่มีใครคุยกับใคร หรือเอื้อนเอ่ยอะไร

สำหรับวิธีการมานั้น บอกก่อนว่า ไกลและซอกแซกพอควร หากตั้งต้นจากในเมืองเพราะร้านอยู่ในซอยลึกจนเราเองยังปักหมุดไม่ถูก งงและไม่แน่ใจก็บ่อยว่าถึงรึยัง?
วิธีการไปก็คือ วิ่งออกเส้นซูเปอร์ไฮท์เวย์ที่จะกลับไปกรุงเทพ พอผ่าน Big C มา ก็ให้เลี้ยวเข้าซอยที่ไปม.พายัพ จากนั้นก็ถามทางโลดแหล่ะว่า ร้านบี่เฮียง อยู่ไหน คนแถวนั้นจะรู้จักหมดเพราะร้านเค้าดังในย่านนั้น  (แหะๆ เลยรู้กันหมดว่า เราเองก็ถามทางไปจนถึงเช่นกัน)

แม้ว่าจะต้องเลี้ยวซอกแซกแค่ไหน งงมากขนาดไหนแต่รับรองด้วยเกียรติของคนที่ชอบทาน เสาะหาอาหารอร่อย พอเจอ “บี่เฮียงโภชนา” แล้วรับรองว่าคุ้มติดใจอยากไปทานอีกบ่อยๆแน่นอน

เที่ยวเล่นในเชียงใหม่ หากต้องการอัพความเก๋ หาอะไรใหม่อินสไปร์ชีวิต ถนนเจริญราษฎร์ ย่านวัดเกตุเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ คาเฟ่อารมณ์อบอุ่น บรรยากาศสุดแนวเข้มขลังไปด้วยงานศิลปะสุดชิคอย่าง “The Meeting Room Art Café”

หากนึกไม่ออกว่าร้านตั้งอยู่จุดไหนให้นึกถึง บ้านไม้หลังย่อมๆ 2 ชั้นอันเป็นที่ตั้งของร้าน Miss Chocolate เก่า นั่นล่ะที่ตั้งของคาเฟ่ศิลปะที่ได้ชื่อว่า เป็นจุดนัดพบใหม่ หรือห้องประชุมของกลุ่มเพื่อนพ้องชาวติสต์ที่เปี่ยมสไตล์ บรรยากาศร้าน ภายนอกเป็นบ้านไม้สองชั้น มีลานเล็กๆให้นั่งด้านนอก ตัวร้านให้บริการเฉพาะส่วนล่าง ก่อนเข้าร้านต้องถอดรองเท้าแล้วค่อยไปเลือกหาที่นั่งกินดื่มด้านในตามใจชอบ ซึ่งมีให้เลือกนั่งชิลล์หลายมุม ทั้งส่วนที่อยู่ใกล้ชั้นหนังสือ หน้าบาร์ หน้าบานกระจก หรือกระทั่งส่วนแพนทรี่และชั้นวางไวน์ที่เจ้าของจัดวางตกแต่งได้น่ารักลงตัว ดูเป็นคาเฟ่ที่เก๋แต่ชิลล์สบายอย่างยิ่ง นั่งดูผลงานศิลปินไป จิบเบียร์ไปพลาง องค์ติสต์ลงได้อารมณ์เชียวล่ะ ที่สำคัญคาเฟ่แห่งนี้ มีมุมแกลอรี่ขนาดย่อมที่ผลัดเวียนเปลี่ยนผลงานจากศิลปะอิสระหลากหลายด้วย

อาหารเมนูง่ายๆก็มีให้บริการซึ่งเจ้าของทำเอง เสิร์ฟเองล้วนๆ พร้อมเครื่องดื่มสารพัด ทั้งเครื่องดื่มร้อนและเย็น เบียร์ ไวน์หลากยี่ห้อ นั่งๆไป เราเห็นชาวต่างชาติทั้งฝรั่ง ญี่ปุ่นแวะเวียนกันมามิได้ขาด  ภายในร้านมีของขวัญ ของฝาก จิวเวลรี่เครื่องประดับน่ารักๆ การ์ดโฮมเมดเก๋ๆ กล่องดนตรีทำจากเหล็กหน้าตาน่าซื้อ วางจำหน่ายตามมุมต่างๆ ประหนึ่งตกแต่งร้านไปในตัว

งานศิลปะทุกชิ้นที่นี่ดูมีเสน่ห์ บรรยากาศร้านที่ช่วยขับความขลังของงานแต่ละชิ้นให้เงาวับวามจนเรานั่งเพลิดอยู่พักใหญ่ ให้บังเอิญวันนั้นเป็นวันเปิดงานแสดงของกลุ่มเพื่อศิลปินกลุ่มหนึ่งด้วย บรรยากาศเลยยิ่งคึกคักเป็นพิเศษ

หากมีแผนเที่ยวเชียงใหม่ล่ะก็ โยนคัมภีร์ไกด์บุ้คเก่าๆไปก่อน ลองเมินร้านกาแฟย่านนิมมานเหมินทร์ ลองไม่อินกับคาเฟ่ตามเชิงดอย ลองแกล้งๆเบื่อขับรถหาที่จิบเบียร์ไกลไปแม่ริมแล้วแวะคาเฟ่ “The Meeting Room Art Café” ดูบ้าง ปักธงเป็นตัวเลือกใหม่ที่ไม่จำเจได้เลยค่ะ

ของขวัญ ของฝากจากชาวเขา สีสดต้องตามากค่ะ

มาเชียงใหม่ทั้งที ถ้าไม่ได้ไป “กาดหลวง” หรือ “ตลาดวโรรส” ก็คงจะเหมือนขาดอะไรไป เพราะกาดหลวงแห่งนี้ถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดเชียงใหม่ และเป็นตลาดเก่าแก่ที่มีประวัติอันยาวนานมานับร้อยปี ใครไปใครมา รวมถึงคนเชียงใหม่เอง ก็จะต้องมาจับจ่ายหาซื้อข้าวของกันยังกาดหลวงแห่งนี้

กาดหลวง, ตลาดวโรรส, กาดต้นลำไย พ่วงรวมตรอกเล่าโจ๊วเข้าไปด้วยนั้นอยู่ในย่านเดียวกัน ในส่วนของตลาดวโรรสนั้นมีประวัติความเป็นมาอันยาวนานมาก เดิมทีที่ตั้งปัจจุบันแห่งนี้เป็นที่ข่วงเมรุ หรือที่ปลงพระศพและเป็นที่เก็บพระอัฐิของเจ้าเชียงใหม่หลายพระองค์ หลังจากที่พระชายาเจ้าดารารัศมีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ มีพระราชดำริให้ย้ายพระอัฐิไปไว้ที่วัดสวนดอก และได้รวบรวมเงินส่วนพระองค์และเงินจากเจ้าอินทวโรรสฯ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ในสมัยนั้น มาสร้างตลาดขึ้นในบริเวณข่วงเมรุนี้ และได้พระราชทานชื่อว่า “ตลาดวโรรส” ตามพระนามของเจ้าอินทวโรรส ชาวบ้านจึงเรียกกันต่อๆ มาในชื่อ “กาดหลวง” ซึ่งนอกจากจะหมายความถึงตลาดใหญ่แล้ว ก็อาจจะหมายถึงตลาดของเจ้าหลวงด้วยก็ได้

ตรอกเล่าโจ๊ว ถนนสายเล็กๆ ที่ได้รับการขนานนามว่า เป็นไซน่าทาวน์แห่งเมืองเชียงใหม่เป็นย่านที่เรารู้สึกว่ามีสีสันที่สุด นอกเหนือจากอาหารการกินจากในกาด สำหรับสาวๆมาตรอกเล่าโจ๊วมักไม่ผิดหวัง ต้องการอะไรมีหมด จะซื้อผ้า กระดุม ไหม อุปกรณ์ต่าง ๆ หรือลูกปัด แม้กระทั่งของชาวเขา พอหิวเดินเลยลิ่วเข้าไปในตลาดหน่อย อาหารหลายร้านก็อร่อย ทั้งขนมจีน ก๋วยเตี๋ยว กระทั่งหอยทอด ขนมหัวผักกาดที่ขายประจำที่ซอยข้างศาลเจ้า

เสน่ห์ของตลาดย่านนี้สวยสดใสไม่เสื่อมคลาย เป็นตลาดที่มีชีวิตและยังเป็นที่นิยมอยู่ แม้ว่าปัจจุบันตรอกเหล่าโจ้ว แม้ห้างตันตราภัณฑ์สาขาท่าแพยังปล่อยทิ้งร้างหลังปิดตัวเมื่อหลายทศวรรษที่ผ่านมา, ถนนสายท่าแพ สายไฟลงดินทั้งหมด ฝรั่งมังค่าเดินขวักไขว่ตามถนน และมีเกสต์เฮาส์อยู่เต็มไปหมด ตรอกเล่าโจ๊ว-กาดหลวงยังน่าสนใจไม่แพ้ตลาดเก่า ๆ ในประเทศไทย มีเรื่องราวที่เล่าได้อย่างมีสีสัน เพราะมีชีวิตผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ศาสนาอยู่ในตลาดนั้น ผู้คนชาวเชียงใหม่ผูกพันเป็นตลาดคู่เมือง มากกว่าความรู้สึกที่มีต่อ Modern Trade ที่ตีโอบล้อมเมืองเชียงใหม่ดักกินกำลังซื้อผู้บริโภคอยู่ทุกวัน

อัพเดตความสดใสให้ชีวิตที่กาดหลวงสักวันก็ดีนะคะ

"Beer Republic" หรือที่แปลเป็นไทยได้ว่า สาธารณรัฐเบียร์
โห..แค่ฟังจากคำแปลชื่อร้าน หูก็ผึ่ง หัวใจก็พองโตแล้ว กลางวันวันหนึ่งที่ขับรถผ่านนิมมานเหมินท์ซอย 11 คิดอยู่ว่าชื่อร้านนี้เจ๋งดี ร้านตั้งอยู่ตรงข้ามร้านก๋วยเตี๋ยวรสเยี่ยม สบโอกาสค่ำหนึ่งเพื่อนรุ่นใหญ่ชวนออกไปชิมเบียร์นอกหลากชนิดกัน ร้านนี้เป็นร้านที่เพื่อนก็เล็งไว้ประสาคอเบียร์เหมือนกันเสียด้วย สำหรับคอเบียร์ที่อยากลองรสชาติหลากหลาย แนะนำให้สั่งชุดเทสต์ก่อนเลยค่ะ เบียร์ต่างๆจะเรียงรายอยู่ในราง จำได้ลางๆเลือนๆว่า ราคาสักรางละ 1,000 บาท ใส่แก้วขนาดแก้วน้ำปกติ มาให้ลองชิม ทั้งหมด 10 ตัว สำหรับชุดเทสต์ชุดใหญ่ และมีชุดเทสต์ชุดเล็ก 500 บาท สำหรับ 5 รสด้วย ใครชอบตัวไหนเป็นพิเศษก็ค่อยสั่งตัวนั้นต่อกันได้ ถือว่าปลอดภัยสำหรับคนที่ไปแล้วยังไร้ทิศทางว่าชอบเบียร์แบบไหน ส่วนเราประสาสาวบอบบางแอบปิ๊งปลื้มเบียร์ผลไม้ กับผูกสมัครรักใคร่ Hoegarden มานานแสนนานแล้ว มีบ้างแอบปันใจให้ยี่ห้ออื่น แต่บ่อยครั้งที่ลองชิมอะไรใหม่ๆไปเรื่อยเปื่อย ดังนั้นการไปเยือน Beer Republic จึงเหมือนการไปพบปะเพื่อนต่างชาติใหม่ๆที่บางครั้งคุยกันถูกคอโดยมิได้นัดหมาย

ใครที่กำลังคิดอยู่ว่าเบียร์นอกคงจืดชืด คิดว่านั่นคงเป็นประสบการณ์จากการดื่มเบียร์อ่อน โดยที่ไม่รู้ เราอาจจะต้องมารู้จักกับเบียร์ชนิดต่างๆกันก่อน เช่น

:: เอลเบียร์ ( Ale Beer ) มีสีดำอ่อนแต่ขมมากเพราะใช้ยีสต์ประเภทลอยตัวในการหมัก มีกลิ่นหอมของมอลต์หมักด้วยอุณภูมิที่สูงมากพอสมควร
:: ลาเกอร์เบียร์ ( Lager Beer ) ผลิตจากมอลต์บางครั้งอาจใช้เมล็ดข้าวโพดแทนได้ สีของเบียร์จะไม่เข้มข้น แอลกอฮอล์ค่อนข้างสูง เมืองไทยมีเบียร์ประเภทนี้มากที่สุดเนื่องจากรสชาติถูกคอคนไทย เป็นประเภทเบียร์ที่ขายมากที่สุดในโลก ตัวอย่างเบียร์ชนิดนี้ก็เช่น เบียร์สิงห์ ไฮเนเก้น ช้าง บัดไวเซอร์ คาร์สเบิร์ก เบียร์ลาว เบียร์ภูเก็ต เบียร์ฟูกกิ้งเฮลล์ เป็นต้น
:: สเต้าท์เบียร์ ( Stout Beer ) เป็นเบียร์ที่มีสีดำเข้มข้น จัดเป็นเอลเบียร์ประเภทหนึ่ง แต่สเตาท์เบียร์มีรสชาติหวานกว่า มีกลิ่นฉุนของดอกฮอฟส์และมอลต์ชัดเจนกว่า เป็นที่นิยมมากในหมู่ชาว อังกฤษ สก๊อต ไอริช
:: พอร์ตเตอร์เบียร์ ( Porter Beer ) จัดเป็นเอลเบียร์ประเภทหนึ่งแต่กลิ่นของฮอพส์น้อยกว่า รสชาติคล้าย สเต้าท์เบียร์แต่มีรสหวานและมีฟองมากกว่า สีจะจางกว่าสเต้าท์
:: บ็อกเบียร์ ( Bock Beer ) มีรสชาติเข้มข้นแอลกอฮอล์สูงถึง 10% เลยทีเดียว รสหวานนำนิดๆ ในเยอรมันจะผลิตเบียร์พวกนี้มาก โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาว

ที่ Beer Republic เค้ามีเมนูแนะนำเพื่อให้เลือกจับคู่อาหารกับเบียร์ด้วยเพื่ออรรถรสความอร่อยเป็นพิเศษ แต่แอบบอกว่ารสชาติอาหารที่นี่ถูกปากเราหลายจาน แล้วเราว่าอะไรๆก็อร่อย เมื่อบรรยากาศแวดล้อมลงตัว ทั้งเพื่อนร่วมบรรยากาศก็สามารถคุยออกรส ถูกคอเหมือนเบียร์...ที่ Beer Republic

ให้บังเอิญว่ากลุ่มแก๊งสาวๆของเรามีนัดกับเพื่อนรุ่นเดอะย่านนิมมานเหมินทร์เพื่อดื่มเม้าท์ เมาสังสรรค์ แต่ยังมีเวลาว่างก่อนนัดร่วมชั่วโมง ครั้นจะเข้าไปนั่งดื่มรอก็เกรงจะเร็วไป เดี๋ยวเมาไวคุยกับเพื่อนรุ่นเดอะไม่รู้เรื่องอีก นึกขึ้นได้ นิมมานเหมินทร์ยังมีร้านกาแฟ ร้านอาหารเบาๆให้นั่งเล่นฆ่าเวลาอีกตั้งหลายร้าน ถือว่าตั้งหลัก เรา(สองสามคน) เลยเลือก Marble Arch เป็นที่ทางแห่งการรอคอย (เวลา)

ใครที่ผ่านไป ผ่านมาแถวนิมมานเหมินทร์ซอย 9 เชื่อว่าต้องสะดุดตากับร้าน Marble Arch อย่างแน่นอน ตัวร้านตั้งอยู่ตรงสี่แยกกลางซอย อยู่มุมตรงข้ามกับโรงแรม May Flower พอดิบพอดี หมายอีกหน่อยสำหรับปาร์ตี้บอยแอนด์เกิร์ลตัวจริงว่า ใกล้กับร้าน Money Club นิดเดียว

“Marble Arch”  ตกแต่งให้อารมณ์ออกแนวกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ชื่อ Marble Arch มาจากชื่อของซุ้มหินอ่อนที่เป็นประตูทางเข้าสวนของพระราชวังบัคกิ้งแฮม ที่จะสะดุดตามากก็คือตุ๊กตาทหารเฝ้ายามหน้าพระราชวังบัคกิ้งแฮม ที่ทางร้านจำลองไอเดียเอามาไว้หน้าร้านด้วย จะไปสะกิดหรือไปหยอกล้ออะไรก็ทำหน้าเฉยตลอด อีกอย่างหนึ่งที่ทางร้านนำมาประดับตกแต่งเพื่อเน้นสไตล์การตกแต่งแบบอังกฤษคือตู้โทรศัพท์สีแดงที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศอังกฤษโดยเฉพาะเลย

สำหรับบรรยากาศภายในร้าน แม้จะดูโมเดิร์นแต่ก็นั่งสบายในอารมณ์กันเองด้วยการตกแต่งภายในที่เป็นโทนสีอ่อนๆ โต๊ะเก้าอี้ก็จะเป็นรูปแบบที่นั่งสบาย มีทั้งเก้าอี้หวาย สลับชุดโซฟา และโต๊ะแบบเค้าท์เตอร์หน้ากระจกใสชมผู้คนผ่านไปมาที่ด้านนอกได้ เรียกได้ว่าเลือกนั่งได้หลากหลายแบบ ส่วนด้านนอกนั้นก็จะมีโต๊ะให้บริการอยู่หลายโต๊ะเหมือนกันแต่น่าจะร้อนเอาการ ช่วงบ่ายทางร้านจึงมีพัดลมไอน้ำเปิดให้คลายร้อน ซึ่งถ้านั่งอยู่นานๆ ก็ไม่ไหวนะ   

พูดถึงเรื่องเครื่องดื่มและอาหาร สามารถสั่งได้ที่หน้าเค้าท์เตอร์ พอสั่งเสร็จพนักงานก็จะให้เลือกหมายเลขโต๊ะ เราเลือกตามเลขที่เราต้องการแล้วหาโต๊ะนั่งได้ตามอัธยาศัย (วันนี้ได้เบอร์ 1 อันเนื่องด้วยเย็นย่ำใกล้ค่ำแล้ว ลูกค้าทางร้านจึงบางตา) สำหรับอาหารต้องขอเมนูจากพนักงานซึ่งก็ค่อนข้างหลากหลายแต่จะเน้นในแบบอาหารจานเดียวซะส่วนใหญ่ แต่วันนี้อย่างที่บอกแต่แรกว่ารอเพื่อน เลยฆ่าเวลาด้วยการสั่ง ชาเนสทีเย็น ลาเต้เย็น โกโก้ร้อน เค้กอีก 2 ชิ้นมาลองชิมแบ่งกันคนละคำ สองคำกับเพื่อนอีก 2 คนที่มานั่งจ่อมรอด้วยกัน ในส่วนของรสชาติถือว่าใช้ได้ ก็ไม่ถึงกับ “ว้าว” รสชาติความเข้มกาแฟกำลังดี แต่ที่ปลื้มให้คะแนนแดนบวกคือ ที่นี่ใช้น้ำแข็งป่นที่เราว่าจะทำให้เครื่องดื่มเย็นกลมกลืน เคี้ยวง่ายได้รส ประสาคนชอบเคี้ยวน้ำแข็งเล่นๆ

ที่นี่ถือเป็นอีกแลนด์มาร์คของคนที่ต้องการรอ..คอย แบบไม่น่าเบื่อ

เปิ้ลลองชิม "เปิ่น" มาแล้วนะ

ระยะหลังในโลกโซเชี่ยลมักจะมีเรื่องน่าแปลกใจ ที่ผู้คนมักจะโพสต์ภาพ หรือ เล่นแอพใหม่ๆ เหมือนๆกัน ตั้งแต่แอพ ติ๊กเกอร์ ที่อินจัดกันอยู่พักใหญ่เยี่ยงไฟลามทุกแล้วหายลับดับไป หรือตอนนี้แอพแต่งรูปจีนก็กำลังมาแรงแซงโค้งทุกแอพ คงอีกแป๊บก็จะเอ้าท์ตาม แอพติ๊กเกอร์ไป แต่โพสต์หลังๆที่ไม่ใช่แอพแต่เป็นรูปเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆโพสต์รูปกาแฟถุงกระดาษของดังแบบบ้านๆหลายยี่ห้อ บรรจุในแพคเกจสุดคูล..คูลจริงจัง นานต่อเนื่องหลายชั่วโมง (เค้าว่างั้น) และทันทีที่ได้ยินว่ามีขายในเชียงใหม่ แถมไม่ไกลที่ทำงานด้วย เราเลยแวะลองสั่งชิม สักถุง สองถุง สามถุง และกลายเป็นสี่ถุง แบ่งๆกันชิมหลายๆรสกับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่ทำงาน

"เปิ่น" เป็นชื่อยี่ห้อหนึ่งในหลายๆยี่ห้อ หรือเป็นเจ้าแรกของกาแฟโบราณบรรจุถุงกระดาษเก็บความเย็นเนิ่นนานก็ไม่อาจทราบได้ สำหรับเชียงใหม่ สาขาที่เราแวะไปอุดหนุนอยู่ตรงอนุพลนครคอร์ท บนถนนสามล้าน ตำบลพระสิงห์ ช่วงชั่วโมงเร่งด่วนอย่างตอนเที่ยงควรโทรนัดแนะ สั่งไว้ก่อนที่เบอร์ 087-3035623 หรือ 081-8848259 เพราะคนรอจ่อคิวกันแน่นเอี๊ยด

เรื่องความเย็นยาวนาน อันนั้นต้องขอยืนยัน ซื้อตั้งแต่กลางวันกินได้นานจนค่ำโน่น น้ำแข็งยังเป็นก้อนอยู่เลย แต่ความหวานของการชงคิดว่าน่าจะอยู่ที่รสมือ เพราะบางอย่าง เช่น กาแฟคาราเมลเราว่าหวานออกน้ำตาลเชื่อมไปนิดกลบรสกาแฟเสียสิ้น อ้อลืมบอกไปว่า กาแฟโบราณรสชาติจะออกแนวโอเลี้ยงที่ชงแบบเป็นถุงผ้าสมัยก่อน หากใครไม่ชอบรสชาติแบบนี้ลองเลี่ยงสั่งเมนูอื่น เช่น น้ำแดงโซดามะนาว ชาเขียวนม หรือชาเย็นแทนก็ได้ เค้ามีหลายเมนู

มัทฉะเย็นหวานน้อยที่ลองสั่งล่าสุดก็ถูกใจมาก ลองจับคู่เค้กส้มด้วยก็เข้ากันไม่หยอกค่ะ

น่าไปบ้างค่ะ

อาหารเช้าเป็นสิ่งจำเป็นในการขับเคลื่อนพลังชีวิต อาหารเช้ามีผลระยะยาวต่อสมองและระบบความจำ อาหารเช้าคือการเริ่มต้นของวันที่ดีที่สุด และอีกนานัปการที่รู้มานานแล้วแต่ทำได้ยาก ข้อที่ว่า ชีวิตมนุษย์ยุคใหม่ล้วนนำเหตุผลแห่งความเร่งรีบมาแก้ตัว เราก็เป็นหนึ่งในมนุษย์เหล่านั้น บางวันแค่ดื่มกาแฟแก้วเดียวแล้วมโนเอาเองว่า “เอาอยู่” แต่เอาเข้าจริงๆหิวไส้จะขาด ทำงานช่วงเช้าแทบไม่ได้(ดี)

เช้าวันหนึ่งของวันทำงานปรกติให้มีเหตุต้องแวะซื้อสิ่งจำเป็นบางอย่างเลยวนรถแวะจอดซื้อที่ ริมปิง ซุปเปอร์มาร์เก็ต สาขาแม่เหียะซึ่งเปิดใหม่ได้ไม่นานนัก สายตาพลันจ๊ะเอ๋เข้าให้กับป้ายโปรโมทอาหารเช้าชุดสุดคุ้มเพียง 59 บาท จากภาพสมองประมวลความคุ้มรวดเร็วพาสองขาก้าวเข้าไปนั่งที่คาเฟ่ริมปิงทันใด คิดสะระตะ ทั้งกาแฟ 1 แก้ว น้ำส้ม 1 แก้ว ไข่ดาว 2 ฟอง แฮมชิ้นใหญ่หนา 1 ชิ้น และไส้กรอกหน้าตาไม่ขี้เหร่อีก 1 ท่อน ทั้งหมดเพียง 59 บาท คุ้มแน่เรื่องราคา แต่รสชาติต้องลอง

สำหรับบรรยากาศฝั่งคาเฟ่ของริมปิง ออกแนว comfort bistro คือ โทนสีเรียบๆ อ่อนตา สบายๆ พื้นที่ขนาดกะทัดรัด ชุดโต๊ะเก้าอี้ไม่ห่างกันนักแต่ก็ไม่ถึงกับแน่นขนัด มีมุมเก้าอี้สูงให้นั่งหน้าบาร์ติดส่วนครัวด้วย (แต่เราไม่ชอบมุมนั้น เพราะรู้สึกเกรงใจระดับสายตาคนที่นั่งมุมอื่นจะมองเสยประสานเห็นก้นคนนั่งตรงนั้นพอดี-ดูไม่งามและเราไม่มั่นพอ) ส่วนของครัวเปิดโล่ง มีอาหารตามสั่งเมนูง่ายๆ ยอดฮิต เช่น ข้าวผัดกระเพรา สุกี้แห้ง และอาหารฝรั่งจานด่วนบางเมนู ทั้งสลัด ซุป สปาเก็ตตี้และอื่นๆ

เรื่องของความสะดวกรวดเร็วที่นี่จัดว่า เยี่ยม เร็ว ปรู๊ดปร๊าดมาก เราสั่งชุดอาหารสุดประหยัด เพียงไม่ถึง 5 นาทีทุกสิ่งก็ถูกทยอยเสิร์ฟจนครบครันตามรูปหน้าเมนูที่โปรโมทเป๊ะ ต้องบอกก่อนเลยว่า ภาพในเมนูกับภาพจริงตรงหน้านั้นเหมือนกันราวกับโขกออกมา ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม และควรแจ้ง สคบ.ให้มอบเกียรติบัตรให้ในความจริงใจของผู้ค้าตรงนี้

มาถึงรสชาติกันบ้าง อันเนื่องมาจากราคาประหยัด รสชาติจึงไม่ได้โดดเด้ง หวือหวา เริ่มจากน้ำส้มที่ไม่ใช่น้ำส้มคั้นสดแต่เป็นน้ำส้มจากกล่องของยี่ห้อหนึ่ง รสชาติจึงพอรับได้และเข้าใจในความไม่สด ต่อมาคือกาแฟก็ไม่ใช่กาแฟสดอ่ะนะ รสชาติจะเป็นแบบกาแฟที่เสิร์ฟบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าตามโรงแรมมาตรฐานทั่วไปซึ่งเอาแค่จิบพอปลุกสติยามเช้า ไม่ต้องหวังความเข้ม หอมกรุ่น ถูกปาก มาถึงจานหลักพระเอกของเรื่อง ไข่ดาว แฮม ไส้กรอก ต้องยกความดีของพนักงานรับออร์เดอร์เพราะเธอจะถามก่อนว่า ชอบไข่ดาวสุก หรือ ไม่สุก นั่นจะทำให้เพิ่มอรรถรสการกินให้ตรงตามจริต และเราได้ไข่ดาวสุกถูกใจ แฮมอร่อยใช้ได้ ไส้กรอกก็ไม่แป้งนัก เรียกว่าใช้ของดีมีคุณภาพพอควร โดยรวมชุดอาหารเช้าเลยน่ารับทานด้วยประการฉะนี้

อย่างที่ “ริมปิง คาเฟ่ สาขาแม่เหียะ” เค้าโปรโมท ก็จริงตรงตามนั้น “สุดคุ้ม”

ไม่รู้ว่าจะมีใครที่ออกอาการแบบเดียวกันบ้างหรือเปล่า? ที่เวลากินอาหารรสแซ่บเป็นต้องเหงื่อแตกซิกทุกที แล้วอาการเหงื่อแตกซิกก็มาเยือนอีกครั้งในวันนี้ที่ลิ้มรสชาติของก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นรสเด็ดจัดจ้านกันที่ร้าน “แตกซิก ซอย 13” ซอยหมื่นด้ามพร้าคต หลังมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ โดยสูตรเด็ดของที่นี่ซึ่งก็คือก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น หมูตุ๋น หม้อไฟแล้วข้าวคลุกน้ำพริกหลายเมนู มีเคล็ดลับในการปรุงแบบพิเศษเฉพาะตัว ทำให้อร่อยเผ็ดร้อนแสบแซ่บเข้าถึงใจลูกค้า จึงไม่น่าแปลกใจเหตุที่ร้านตั้งชื่อว่า “แตกซิก” ก็มาจากรสชาติความอร่อยที่แอบซ่อนความเผ็ดไว้ในน้ำซุป เวลาซดน้ำซุปร้อนๆ เข้าไป หลายคนก็เกิดอาการเหงื่อแตกซิกขึ้นมาทันที

ถ้าใครอยากลองพิสูจน์ความอร่อยแซ่บต้องลองสั่ง หม้อไฟเนื้อตุ๋น ที่มีทั้งลูกชิ้นเนื้อ เนื้อสดที่เลือกจากเนื้อลูกมะพร้าวสไลด์บางๆ แล้วลวกพอสุก ตับวัวก็ล้างให้สะอาดแล้วลวกสุกเช่นกัน ส่วนม้าม,เอ็น,ลิ้น,ไส้ ต้องต้มให้เปื่อยได้ที่แล้วจึงนำมาหั่นเป็นชิ้น เนื้อเปื่อยก็จะเลือกใช้เนื้อสามชั้นกับเนื้อปลอกคอมาตุ๋นกับน้ำซุป สุดท้าย ขอบกระด้งและหางวัวก็ต้มให้สุกพอดี ทั้งหมดนี้ใส่มาพร้อมกับน้ำซุปหอมๆ ร้อนๆ ปรุงรสใส่พริกสวนสดตำละเอียดเพิ่มความเผ็ดหอม ซึ่งสามารถสั่งได้ว่ากินเผ็ดมาก-น้อย มาชิมแต่น้ำซุป รสชาติเผ็ดอร่อยจัดจ้านกำลังดี เสิร์ฟมาคู่กับน้ำจิ้มสูตรเฉพาะของทางร้านรสชาติออกเปรี้ยวเค็มเผ็ด กินคู่กันก็ยิ่งอร่อย

ส่วนถ้าสั่งก๋วยเตี๋ยวก็จะมีทั้งเส้นเล็ก เส้นใหญ่ และเส้นหมี่ให้เลือก จะกินหมูตุ๋น หรือเนื้อตุ๋นที่มีพระเอกเป็นเนื้อลายอร่อยๆ เนื้อพร้อมลายเอ็นวัวที่ตั้งใจตุ๋นจนนิ่มและเปื่อยแต่ยังคงความอร่อยของเอ็นไว้ โดยเนื้อน่องลายนั้นทางร้านจะเลือกเนื้อวัวส่วนขาหน้ามาต้มตุ๋นกับน้ำซุปจนได้ที่ ซึ่งน้ำซุปที่ว่านี้ก็ได้จากการต้มเนื้อ ใส่เครื่องเทศทั้งไทย, อินโดนีเซีย และจีน พร้อมกับปรุงรสให้กลมกล่อม แล้วเคี่ยวไปเรื่อยๆ ตลอดทั้งวัน ซึ่งถ้าเป็นก๋วยเตี๋ยวแห้งก็จะคลุกเคล้าซีอิ้วดำมาให้ด้วย ลองชิมก๋วยเตี๋ยวกลิ่นหอมๆ ชามนี้แล้วต้องบอกว่าถูกใจมาก เพราะเส้นก็เหนียวนุ่มดี มีความหอมและรสชาติหวานนิดๆ จากซีอิ้วดำ ส่วนเนื้อน่องลายก็เปื่อยนุ่มได้รสชาติดี


ส่วนไฮไลท์อีกอย่างชวนเหงื่อแตกซิก คือเมนูข้าวคลุกน้ำพริก ที่มีให้เลือกทั้งน้ำพริกกากหมู น้ำพริกลงเรือ น้ำพริกเผากุ้ง น้ำพริกปลาย่างและอีกสารพัด โดยเราลองสั่งข้าวคลุกน้ำพริกกากหมู  (จานละ 35 บาท) ทางร้านจะใส่ผัก และทรงเครื่องต่างๆ วางจัดอยู่บนจาน ต้องบอกว่าจานนี้อร่อยโดนใจ เพราะเครื่องเคราของทางร้านเขาปรุง ผัดคลุกมาถึงเครื่องจริงๆ โดยที่ข้าวผัดคลุกไม่มันเยิ้มและไม่แฉะ อร่อยอยากทานอีก

ร้าน “แตกซิก ซอย 13” ตั้งอยู่หลังมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ซอยหมื่นด้ามพร้าคต 13 นี่เอง

ไส้หมูสับไข่เค็ม

ไส้กุ้งสด

“ปั้นเปา” ได้ยินชื่อก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าขายอะไร แต่สิ่งที่สะดุดตาของร้านหน้าใหม่ที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนนอารักษ์ 5 คือ ความแจ่มเจิดของสีส้มที่เป็นโทนสีหลักของร้านและความหลากหลายของซาลาเปาที่มีหลากสี หลายไส้ร่วมๆ 50 รสชาติให้เลือก แต่เดิมสาขาแรกเห็นว่าอยู่เชียงราย ไกลบ้านเสียจนไม่มีโอกาสได้ไปชิม ทันทีที่ “ปั้นเปา” หอบเอาสารพัดรสชาติมาให้เลือกชิมถึงเชียงใหม่ และเปิดร้านได้ไม่กี่วัน เราเหยียบเบรกหยุดรถแทบไม่ทัน ตกอยู่ในอาการอยากชิมขั้นรุนแรงเพราะเห็นซาลาเปาวางขายใส่อยู่ในตู้เต็มหน้าร้านเลย

ครั้งแรกที่แวะร้านปั้นเปา ได้ซื้อมา 5 ไส้เพื่อลองชิม อันมีไส้กุ้งสด ไส้หมูสับไข่เค็ม ไส้ไก่เห็ดหอม ไส้หมูแดง และไส้หมูโบราณ โดยซาลาเปาสนนราคาอยู่ที่ 15-25 บาท ครั้งนั้นติดใจไส้กุ้งสดเป็นพิเศษและตั้งใจว่าในครั้งถัดๆไปจะลองชิมไส้ครีมหรือไส้หวานอื่นๆด้วย ซึ่งได้ลองพิสูจน์แล้วว่าอร่อยไม่น้อยไปกว่ากัน จากป้ายหน้าตู้และตามคำแนะนำของน้องคนขาย สามารถจำแนกไส้ซาลาเปาตามรูปโฉม และตามโซนที่จัดวางแบบเลือกกันตาลายดังนี้

ไส้เค็ม: ไส้หมูนุ่ม, ไส้หมูสับไข่เค็ม, ไส้ต้มยำกุ้ง, ไส้ไก่เห็ดหอม, ไส้หมูพริกไทยดำ, ไส้ฮังเล, ไส้อั่วหมู, ไส้ลาบคั่วหมู, ไส้ผักโขมแฮม, ไส้กุ้งสด, ไส้หมูโบราณและอื่นๆ อีกมากมาย

ไส้หวาน: ไส้ครีม, ไส้ครีมชาไทย, ไส้ครีมไข่เค็ม, ไส้ครีมข้าวโพด, ไส้งาดำ, ไส้ถั่วแดง, ไส้สังขยาใบเตย, ไส้ชาเขียว, ไส้เผือกแปะก้วย, ไส้งาดำฟักเชื่อม, ไส้มะพร้าวอ่อน, ไส้ถั่วแดงเกาลัด และอื่นๆ

มังสวิรัติ: ไส้ผักเต้าหู้เห็ดหอม, ไส้เผือกเห็ดหอม, ไส้เห็ดสามสหาย, ไส้หน่อไม้เห็ดหอม

หมั่นโถว: โฮลวีท, แป้งขาว, ฟักทอง, ใบเตย, งาดำ, ผักโขม, ไส้กรอก, แฮมชีส และอื่นๆ

สำหรับการเดินทางไปร้านปั้นเปา สาขาเชียงใหม่ นี้อยู่หัวมุมของถนนอารักษ์ (ซอย 5) คือถนนด้านในคูเมืองที่จะวิ่งไปยังประตูสวนดอก ก่อนถึงประตูสวนดอกจะมีแยกเลี้ยวซ้าย ตรงถนนอารักษ์ ซอย 5 ร้านปั้นเปาอยู่ตรงหัวมุมถนนนี้พอดี จะขับเลยมาหน่อยหนึ่งแล้วหาที่จอดหรือหาที่จอดก่อนหน้าตรงบริเวณร้านเจียงก๋วยเตี๋ยวปลาก็ได้

สำหรับเรื่องรสชาติต้องบอกอีกครั้งตรงนี้ว่าอร่อยใช้ได้เลย (ไม่อย่างนั้นคงไม่ไปซื้อทานถึง 3 รอบในเวลาเพียงไม่ถึงเดือน)ไส้ที่อยู่ในซาลาเปา ถึงจะไม่มากมาย แต่ถือว่าพอดีๆ ไม่มากไป ไม่น้อยจนเกินไป แป้งนุ่มหนึบลงตัว สรุปว่า น่าตามไปลองชิมค่ะ นับโอกาสที่ดีสำหรับคนเชียงใหม่เองด้วยที่ไม่ต้องตามไปชิมซาลาเปารสชาติอร่อยๆ ที่ขึ้นชื่อไกลถึงเชียงรายโน่น

ปล. ตอนนี้ซาลาเปาที่โชว์หน้าตู้กระจกทุกชิ้นเค้าห่อพลาสติกใสกันลม กันฝุ่นแล้วนะเออ จะสั่งกลับก็รอให้เค้าอุ่นเพียง 5 นาที

เค้ามีแปลงองุ่น ขนาดย่อมๆให้ชมเล่นๆด้วยค่ะ

เส้นทางมุ่งหน้าขึ้นดอยอินทนนท์อันเป็นหัวใจหลักของนักท่องเที่ยวที่ปักหมุดในลิสต์ของการมาเยือนเชียงใหม่ นัยว่า หากไม่ได้ขึ้นไปชมดอยที่สูงที่สุดของประเทศไทย เหมือนยังไม่ได้มาถึงเชียงใหม่อย่างไรก็อย่างนั้น รายทางระหว่างขับรถทะยานขึ้นดอยที่อากาศเฉลี่ยเย็นฉ่ำใจตลอดทั้งปียังมีจุดแวะพักชมวิว ทานข้าว เที่ยวเล่นชิลล์ได้อีกหลายแห่ง หนึ่งในนั้นยังมีฟาร์มเล็กๆซุกตัวใกล้ชิดภูเขาใหญ่ อยู่บนถนนทางขึ้นดอยอินทนนท์ นั่นก็คือ “Small Farm”

“Small Farm” เป็นฟาร์มขนาดเล็กสไตล์คาวบอยที่จุบรรยากาศชีวิตฟาร์มไว้ครบครัน ตั้งอยู่ในตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 58 กิโลเมตร ด้วยโลเกชั่นของฟาร์มที่อิงแอบแนบชิดภูเขาใหญ่ มีวิวทิวทัศน์ของต้นตาลสูงๆแซมสลับวิวสีเขียวของทิวเขา เห็นทัศนียภาพแบบพาโนราม่าสวยเต็มตา ฟาร์มแห่งนี้ยังมีลำธารเล็กๆไหลผ่าน มีแนวรั้วสีขาว กังหันลมธรรมชาติพร้อมโรงนาน้อยใหญ่ และนานาสัตว์ให้ชม ล้วนแล้วช่วยส่งเสริมบรรยากาศให้ได้อารมณ์แบบบ้านไร่ชนบทและวิถีชีวิตแบบคาวบอยอย่างแท้จริง

จากลานจอดรถของทางฟาร์มบริเวณทางเข้า จะเป็นที่ตั้งของซุ้มเก็บเงินค่าชมฟาร์ม โดยคิดบริการที่ คนละ 55 บาท สำหรับผู้ใหญ่ และ 25 บาทสำหรับเด็ก ซึ่งสามารถใช้เวลาชมฟาร์มได้ตลอดทั้งวันตั้งแต่ 8.00 น. – 18.00 น. บริเวณส่วนหน้าของฟาร์มเป็นร้านอาหารให้บริการอาหารไทย-ฝรั่งอย่างง่าย เช่น สเต็ค สปาเก็ตตี้ และมีมุมกาแฟให้บริการด้วย ถัดจากส่วนร้านอาหาร ยังมีคอกสัตว์ต่างๆ ทั้งคอกแกะ คอกม้า คอกไก่ และสัตว์ในฟาร์มชนบทชนิดต่างๆให้เราได้ทำกิจกรรมหรือชมความน่ารักมากมายหลายสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นฝูงเป็ดก้าบๆ, แอมเบอร์ฟิลด์อ้วนดำตัวใหญ่, นกกระจอกเทศและวัวลายพันธุ์เนื้อที่แสนเชื่องที่อยู่ไม่ไกลกัน จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เหมาะแก่การถ่ายรูป ฟาร์มฯ แห่งนี้ไม่ได้มีเฉพาะคอกสัตว์เท่านั้นแต่ยังมีกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวจะสามารถเข้าร่วมสนุกและเพลิดเพลินได้ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมขี่ม้าสไตล์คาวบอย, กิจกรรมนั่งเกวียนชมทุ่ง,ให้อาหารสัตว์, ปลูกผัก และสำหรับใครก็ตามที่ไม่เคยดำนาหรืออยากสัมผัสเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวนา ฟาร์มแห่งนี้ยังมีกิจกรรมดำนาให้นักท่องเที่ยวได้เข้าร่วม ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนเมืองหรือคนที่ไม่เคยดำนามาก่อน บริการในส่วนอื่นๆ มีอีกมากมายทั้งร้านขายของที่ระลึก, นำเที่ยวชมฟาร์มด้วยรถม้า, บริการขี่ม้า,โชว์การแสดงคาวบอย ก็เป็นกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าร่วมได้ทั้งนั้น

และสำหรับใครที่ต้องการพักค้างอ้างแรมท่ามกลางสัตว์น่ารักๆแวดล้อมด้วยธรรมชาติสไตล์คาวบอยเพื่อจำลองวิถีชีวิตชนบท ที่ Small Farm แห่งนี้ก็มีห้องพักสำหรับรองนักนักท่องเที่ยวเช่นกัน ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่น่าจะสร้างความสนุกเพลิดเพลินให้คนในครอบครัว ทุกเพศ และทุกวัย

…Small Farm คือ ฟาร์มสุขที่ยิ่งใหญ่

โอ๊ะ โอ ลืมบอกไปว่า นอกจากเค้ก คุ้กกี้ ขนมปัง และเครื่องดื่มร้อน-เย็นสารพัดแล้ว เค้ามีไอศกรีมโฮมเมดให้เลือกชิมด้วยค่ะ..แต่เรายังไม่เคยลองนิ

ทิ้งท้ายด้วยรูปหน้าค่าตาของเมนูสุดฮิตประจำร้าน ทั้ง ฮันนี่โทสต์ และ เครป เผื่อใครตั้งใจไปลองโดยเฉพาะ

ท่ามกลางร้านกาแฟที่ควบรวมขายเบเกอรี่ไปด้วยซึ่งแน่นขนัดกระจุกตัวอยู่ทั่วทุกหัวระแหงย่านนิมมานเหมินทร์ จากหัวถนนไปจนสุดทางท้ายถนน จนเรียกได้ว่า เชียงใหม่ช่างโรแมนติคและไม่เคยหลับใหล (ด้วยอานุภาพคาเฟอีนและของหวาน) เรากลับพบว่า หากมองข้ามผ่านเรื่องลุคส์และสไตล์การแต่งร้านที่น่านั่งแล้ว มีเพียงบางร้านเท่านั้นที่เกิดมาเพื่อความอร่อยที่น่าชื่นชม

วันนี้เราเลือกที่จะชื่นชมขนมของร้าน Café Kantary แทนที่จะนิยมชมชื่นกาแฟ โดยส่วนตัวแล้วมองว่ากาแฟยังไม่หอมเข้มกลมกล่อมถูกจริต เราอาจดัดจริตไปหน่อยที่ชอบกาแฟหวานน้อย หอมนำ เข้มตาม แต่นั่นมันคือกาแฟในฝันของคนค่อนโลกเชียวนะ

เล่าให้ฟังก่อนว่า Café Kantary เป็นร้านที่ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณ Kantary Terrace ของโรงแรมแคนทารีฮิลส์ บนถนน นิมมานเหมินทร์ ซอย 12 นั่นเอง ด้วยทำเลที่ตั้ง อารมณ์การตกแต่งซึ่งจะทำให้ลูกค้าที่นั่งทอดอารมณ์ดูโก้เก๋และคุณภาพพิถีพิถันตามเกรดโรงแรม ราคาจึงค่อนข้างสูงในสายตาเจ้าถิ่น (อย่างเรา) แต่ถือว่าราคาอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานสำหรับนักท่องเที่ยวชาวกรุงและชาวต่างชาติ แม้จะเป็นเพียงห้องหับติดแอร์กรุกระจก ไร้พื้นที่สีเขียวจากต้นไม้ต้นไร่ แต่การจัดวางตกแต่งร้านที่ดูโปร่ง เดิร์นเข้ากับบรรยากาศโดยรวมของย่านสุดฮิปก็ทำให้คาเฟ่แห่งนี้ดูน่านั่ง จิบเครื่องดื่มที่ชอบ เลือกเค้กชิ้นที่ใช่ เอนหลังสบายใจ หรือจะท่องเนทเล่นได้ไม่ยาก ด้วยความที่เครื่องดื่มยอดฮิตติดชาร์ตในใจเราคือ กาแฟ แต่บ่อยครั้งที่เราไม่อินกับรสมือชงกาแฟของที่นี่ เราเลยมักเลือกทานขนมเป็นตัวหลัก แล้วหาเครื่องดื่มอื่นๆจิบแทน และทุกครั้งเราพบเพชรเม็ดงามในคาเฟ่แห่งนี้ที่ทำให้เราต้องหอบห่อซื้อกลับบ้านไปฝากคนทางบ้านด้วย

ขอข้ามเมนู Honey Toast ยอดฮิตที่ใครมาถึงร้านต้องสั่งทานไปก่อน เพราะรู้กันอยู่ว่า เป็นขนมปังก้อนยักษ์ราดด้วยน้ำผึ้งสูตรพิเศษของทางร้าน แต่งหน้าด้วยวิปครีมและผลไม้สด ซึ่งมันมักจะจำกัดพื้นที่ในกระเพาะให้ชิมอย่างอื่นไม่ได้อีก และเราเองเคยประสบปัญหาอิ่มอั้กมากไปจากการสั่งเจ้า Honey Toast ทานหลังจัดหนักอาหารมื้อหลักมาแล้ว

วันนี้เราลองสั่งเครื่องดื่มเย็น เป็นตระกูลชาใส่นม ทั้งชาไทย ชาเขียว พ่วงท้ายด้วยการเลือกซื้อเค้ก 2-3 อย่างกลับบ้าน ทั้งชีสเค้กมะม่วง เค้กราสเบอรี่ และฟรุ้ตทาร์ต สำหรับเครื่องดื่ม เช่นเคยยังไม่โดน แต่!!เราชื่นชมความแน่นเนียนของเค้ก โดยเฉพาะชีสเค้กที่รสชาติเหมาะเจาะลงตัวกับความหวานนิดเปรี้ยวหน่อยของมะม่วง ขนาดคนที่บ้านไม่ชอบกินเค้ก และไม่ชอบมะม่วงยังชมและกินหมดชิ้นอีกด้วย

หากจะแนะนำเป็นการส่วนตัว กรณีอิ่มอั้กจากไหนมาแล้วต้องการซื้อขนมนมเนยติดกลับบ้านไปทานเล่นๆ ที่ Café Kantary แห่งนี้ถือเป็น แลนด์มาร์คของคนรักเค้กเลยก็ว่าได้
ที่รู้สึกพิเศษคือ มาทีไรเค้กหน้าใหม่ออกไม่ซ้ำ ตื่นเต้นดีที่มีลุ้นความอร่อยแบบนี้

สิบกว่าปีก่อน...สมัยละอ่อนเป็นนักศึกษาสาวในรั้วมหาวิทยาลัยตีนดอยสุเทพ การตระเวนหาของกินอร่อยๆที่แม่ค้าพ่อขายเป็นคุณลุงคุณป้าคุณตาคุณยายถือเป็นเรื่องสนุก และเป็นกิจกรรมทำกันจริงจังในหมู่เพื่อนฝูง เรามักจะแวะกินร้านรถเข็น เพิงข้างทางอร่อยๆ แผงขนมต่างๆที่เปิดเฉพาะกิจ เฉพาะช่วงเวลาตามทางเท้าหน้ามอและหลังมอ ตลอดจนรอบๆมอเรื่อยเลยไปจนถนนนิมมานเหมินทร์และศิริมังคลาจารย์ซึ่งไม่ได้เจริญเดิร์นล้ำแบบทุกวันนี้

ร้านรวงเก่าๆบางร้าน เพิงอาหาร แผงขนมข้างทางหลายต่อหลายร้านหายไปอย่างถาวร อดคิดถึงรสชาติชีวิตเก่าๆและรสมือบรรดาพ่อค้าแม่ขายเจ้าเก่าเหล่านั้นไม่ได้ แต่หนึ่งในไม่กี่ร้านที่ยังคงอยู่ในพิกัดที่ตั้งเดิม รสชาติอร่อยคงเส้นคงวา คือ “ปอเปี๊ยะสด ก๋วยเตี๋ยวหลอดฟ้าธานี(เจ้าเก่า)” ที่มีรถกะป๊อจอดทำการเป็นโลโก้อยู่มุมสามแยก บนถนนห้วยแก้วตัดเข้าถนนศิริมังคลาจารย์ หรือบริเวณโรงหนังฟ้าธานีเดิม

วันนี้เราชวนมาหม่ำรำลึกอดีตในโฉมใหม่กันที่นี่ “ปอเปี๊ยะสด ก๋วยเตี๋ยวหลอด ฟ้าธานี(เจ้าเก่า)” ถ้าใครเป็นคนที่อยู่เชียงใหม่มานานก็จะรู้จัก โรงหนังฟ้าธานีซึ่งเป็นโรงหนังของเชียงใหม่ในอดีตที่แต่ตอนนี้เค้าโครงเดิมได้เลือนหาย ไม่มีแล้ว กลายเป็นอาคารพาณิชย์ขายของและเปิดร้านอาหารไปแล้ว แต่เดิมร้านนี้มีเพียงรถกะป๊อจอดขายอยู่ริมทาง ให้ลูกค้านั่งทานริมถนนได้บรรยากาศบ้านๆดี แต่ตอนนี้เปิดเป็นร้านมีโต๊ะเก้าอี้หลายชุด หลายที่นั่งตรงมุมถนนเดิมเลย โดยลูกค้าสามารถจอดรถตรงด้านหลังที่เป็นลานรวมร้านนั่งดื่มยามค่ำคืน แล้วเดินออกจากซอกตึกมานิดเดียวเท่านั้น

มาที่นี่ทีไรเรามักจะสั่งก๋วยเตี๋ยวหลอดพิเศษ ด้วยความต่างของราคาและปริมาณความตู้มของเครื่องที่พิเศษกว่าจริงๆ คือ ธรรมดา 35 บาท พิเศษ 45 บาท และที่เชิดหน้าชูตาของร้านคือก๋วยเตี๋ยวหลอดที่นี่เป็นการเอาเส้นไปนึ่งแล้วค่อยตักน้ำราดหรือเรียกว่า ทรงเครื่อง ไม่ใช่ก๋วยเตี๋ยวหลอดแบบพันๆห่อๆกับเครื่องแล้วเอาไปนึ่งแบบที่เห็นทั่วๆไป อันที่จริงที่นี่มีเส้นให้เลือก 2 แบบ คือเส้นใหญ่กับเส้นหมี่ แต่อย่างไรก็ตามเส้นใหญ่เป็นเส้นที่ฮอตฮิตที่สุดที่ใครๆก็สั่งกัน เพราะเส้นนุ่มหนับจับใจเชียว เครื่องทรงที่ราดมาบนก๋วยเตี่ยวหลอดชามพิเศษนี้ มีทั้งไข่นกกะทา เห็ดหอม กากหมูเจียว ปลาหมึกแห้ง เต้าหู้ หมูชิ้น แทบกินกันไม่หมดเพราะชามใหญ่มาก

ปิดท้ายด้วยปอเปี๊ยะสดปูจานธรรมดาราคา 35 บาทที่เสิร์ฟมา 2 ชิ้นเขื่องๆ น้ำราดอร่อยกลมกล่อม แป้งปอเปี๊ยะก็หนานุ่มพอดีกับเครื่องที่มีทั้งกุนเชียง เต้าหู้ ถั่วงอก แตงกวา โรยเนื้อปูมาพอให้สมชื่อเมนู ทานแกล้มพริกชี้ฟ้าสดอร่อยลงตัวที่สุด

อย่ามัวแต่กลืนน้ำลายนะคะ ไปลองชิมกัน เจ้าเดิม เจ้าเดียว...เค้าเปิดประมาณ 10.30 น. เกือบทุกวันนะคะ

ร้านอาหาร “บ้านร้อยทับหนึ่ง” ตั้งอยู่บนถนนเลียบคลองชลประทาน ติดกับศูนย์วิจัยสาธิตและฝึกอบรมการเกษตรแม่เหียะ ปรกติร้านอาหารแห่งนี้จะเปิดในช่วงห้าโมงเย็นถึงประมาณเที่ยงคืนของทุกวันโดยให้บริการอาหารไทยและอาหารพื้นเมือง (เหนือ) รวมถึงเครื่องดื่มหลากประเภท

จากตัวเมืองเชียงใหม่สู่ตลาดต้นพะยอม เลี้ยวซ้ายเลาะถนนเลียบคลองชลประทานมุ่งหน้าสู่แม่เหียะ แล้วยูเทิร์นบริเวณสะพานหน้าศูนย์วิจัยเกษตรมช. จะเห็นร้านอาหาร “บ้านร้อยทับหนึ่ง”อยู่ด้านซ้ายมือติดถนนหลัก สามารถจอดรถบริเวณลานข้างร้านสะดวกสบาย

บรรยากาศโดยรอบร่มรื่น ปลุกความสดชื่นและกระชุ่มกระชวยให้เราได้มากโขเลยทีเดียว  มองไปทางไหนก็โปร่งตาไร้ตึกสูงแถมมีแต่สีเขียวชอุ่ม  ให้ความรู้สึกใกล้ชิดกับธรรมชาติ  สถานที่โปร่งผ่อนคลาย ครบครันด้วยอาหารไทยและพื้นเมืองรสดี จึงเหมาะกับทุกคนในครอบครัว ทางร้านจัดโซนให้เลือกนั่งได้ทั้งส่วนของห้องแอร์และบริเวณชานด้านนอกแบบโอเพ่นแอร์ สบายๆ เป็นกันเองต้อนรับลมหนาว(ที่กำลังมาเยือน)

ส่วนการตกแต่งโดยรวมของทางร้านนั้นดูเรียบง่ายแต่ลงตัวด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้เก่านำมาประยุกต์ให้มีคุณค่า ผสมผสานกับการจัดวางก้อนหินตกแต่งตามอาคารทั้งภายนอกและด้านใน หลายชิ้นงานนำล้อเกวียนมาดัดแปลงตกแต่งอารมณ์คันทรี่ย์ ที่นอกจากจะดูน่านั่งแล้วยังเพิ่มคุณค่าให้งานไม้เก่าอีกด้วย

เพื่อไม่ให้เสียเวลา เราจัดหนักกับเมนูอาหารนำร่องเบาๆอย่าง สลัดผลไม้เพื่อเรียกความสดชื่นหลังเลิกงาน ซึ่งน้ำสลัดกับผลไม้สดถือเป็นการเรียกคืนความสดชื่นตลอดจนเรียกน้ำย่อยที่เยี่ยมมาก จากนั้นเมนูกับแกล้มคอเบียร์อย่าง หมูกรอบทอดก็ตามมา ซึ่งหมูกรอบทอดที่นี่ไม่เหม็นหืน และกรอบจริง เคี้ยวกันกรุบกรับเผลอแป๊บเดียวเกลี้ยงจาน และต่อด้วยเมนูแนะนำที่ขึ้นชื่อ ทั้งหมูสะเต๊ะ พล่าปลาแซลม่อน สเต็คแจ่วที่เสิร์ฟมาคู่กันกับส้มตำไทยรสจัดจ้าน ต่างทยอยมาให้ชิม ลองลิ้มกันอย่างสะใจ ปริมาณที่เสิร์ฟถือว่าคุ้มกับราคามากเมื่อเทียบกับสวนอาหารในละแวกใกล้เคียง ปิดท้ายด้วย  ทอดมันกุ้ง ที่กัดคำแรกก็รู้สึกได้ถึงกุ้งเนื้อแน่น ที่มีความกรอบกรุบเคลือบบางๆอยู่ด้านนอก อิ่มพุงป่อง  ท้องกางไปตาม ๆ กันเลยล่ะมื้อนี้  ทั้งบรรยากาศและรสชาติของอาหาร ไม่บอกต่อ ไม่ได้เลย

หากมีโอกาสได้เดินทางมาเที่ยวแถวๆแม่เหียะ หรือ ราชพฤกษ์ ลองขับเลียบเลยแวะมาชิมรสชาติของอาหารไทย รสแจ่มที่ สวนอาหาร “บ้านร้อยทับหนึ่ง” กันได้นะคะ ราคาไม่ค่อยแพงด้วย พิสูจน์แล้ว

เคยไปกันหรือยัง? แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติในเชียงใหม่ที่ยังคงมีน้ำให้เห็นบ้างแม้ไม่ไหลซ่านซ่า ด้วยเพราะมีสภาพเป็นซอกผาโขดหิน มีร่องน้ำไหลเซาะซอน  ไปตามซอกหิน นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามน่าทึ่งแห่งหนึ่ง  ที่ไม่ค่อยจะมีใครพูดถึงกัน  ถามชาวเชียงใหม่บางคนอาจจะไม่รู้จัก และไม่เคยได้ยินชื่อด้วยซ้ำ ด้วยระยะทางเพียง  24-25  กม. จากตัวเมืองเชียงใหม่ไปทางอำเภอหางดง  แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่กำลังพูดถึงอยู่ นั่นคือ “อุทยานแห่งชาติออบขาน”  ย้ำชื่ออีกครั้งนะคะไม่ใช่  "ออบหลวง" แต่เป็น "ออบขาน" ที่อุทยานแห่งชาติออบขาน มีหน้าผาบางแห่ง หรือบางช่วง ที่เราต้องเดินเลาะหน้าผาไปตามไหล่เขาเข้าไปลึก ๆ  มีชื่อเรียกเฉพาะ เช่น  ออบขาน ออบไฮ   ผาตูบ  ผาอกม้า และถ้ำตั๊กแตน  เป็นต้น  จุดไฮไลท์มีด้วยกันนับสิบแห่ง  หากเดินลึกเข้าไปประมาณ 10 กม.   มีบางแห่งสวยงามมากกว่าออบหลวงเสียด้วย       

การเดินทางไปยัง “อุทยานแห่งชาติออบขาน” ไป-มาได้ง่าย ระยะทางไม่ไกล ทั้งสภาพเส้นทางก็สะดวกสบายในการเดินทางด้วย เพียงขับรถจากเชียงใหม่เลาะเรียบคลองชลประทาน ไปทางอำเภอหางดงเพียง 15 กม. พอถึงทางแยกน้ำแพร่ – ออบขาน จึงเลี้ยวขวาเข้าไปอีก 11 กม.  เป็นถนนลาดยางเกือบหมด มีบางช่วงที่เป็นถนนลูกรังระยะทางเพียง 2-3 กม. เท่านั้น   ไม่นานก็ถึงอุทยานแห่งชาติ  ออบขาน พอไปถึงก็จะเห็นสายน้ำตามช่องเขาไหลผ่านซอกผาสูงชัน ไหลมาบรรจบกันที่บริเวณที่ทำการอุทยานฯ  เป็นบริเวณกว้าง  สามารถที่จะลงเล่นน้ำใส ๆ ไหลเย็นให้ชื่นใจ  หากไม่อาบน้ำก็อาจจะวิ่งเล่นบนฝั่งที่มีเนินทรายหนาขาวสะอาดให้สบายใจก็ได้

ลองไปเที่ยวกันกันดูนะคะแล้วจะประทับใจ กับ “อุทยานแห่งชาติออบขาน”   แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ไม่ไกลจากเมืองเชียงใหม่ น่าไปเที่ยวจริงๆ

"ออบนั่นหรือก็คือชะง่อนผา..โกรกธาราถูกกัดเซาะเพราะแรงน้ำ..เกิดเป็นโกรกโตรกผาที่งดงาม..ช่องร่องน้ำผ่านผาคู่ดูแปลกตา..ขานนั่นหรือก็คือชื่อชาวบ้าน..เรียกแม่ขานธารน้ำไหลจากไพรป่า..จากสะเมิงเลาะเขาไหลเรื่อยมา..เซาะแก่งผาอ้อมดอยภูสู่แม่ปิง..ณ.ออบขานตรงนี้ที่บรรจบ..น้ำไหลซบรอดช่องร่องหว่างผา..จึงเป็นชื่อเรียกขานกันสืบมา..เป็นเพราะว่าด้วยเหตุนี้ที่เรียกกัน..ชื่อออบขานอุทยานย่านหางดง..ก็ยังคงรอคอยคนมาเที่ยว..จากเชียงใหม่เข้าหางดงไปหน่อยเดียว..ถึงน้ำแพร่เลี้ยวข้ามคลองสิบสองโล..
คือออบขานธารน้ำและแก่งผา..มีสายน้ำธาราซัดซ่าไหล..เซาะแก่งหินหอบดินและเม็ดทราย..มากองไว้ริมฝั่งเห็นเป็นหาดยาว..ตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติ..มีชายหาดโขดหินแก่งหินผา..ฐานเรียนรู้ที่จัดทัศนา..นิเวศน์ป่าออบไฮตามลายทาง..เดินดูเพลินเดินไปไพรเบื้องหน้า..พันธุ์ไม้ป่าความงามตามได้เห็น..สายน้ำไหลกระทบหินแตกกระเซ็น..นี่ก็เป็นธรรมดาของป่าไพร..อุทยานแห่งชาติออบขานนี้..สงบดีเป็นที่มาพักผ่อน..มีบ้านพักหรือจักกางเต็นท์นอน..อย่าอาวรณ์พักก่อนเพื่อผ่อนคลาย..พักร่างกายเติมพลังในวันนี้..ชาร์ตแบตเตอรี่ชีวีก่อนปีใหม่..เสริมกำลังที่เคยอ่อนหล้าไป..ถึงปีใหม่มีไฟไปทำงาน..มาพักผ่อนหย่อนใจสบายแล้ว..ถ่ายรูปเก็บไว้แล้วเป็นหลักฐาน..เดินทางออกจากไปใจชื่นบาน..จากออบขานมุ่งภูสู่ดอยปุย"

กุ้งกระเบื้องอร่อยมาก

ในยุคข้าวยากหมากแพง ของกินของใช้ต่างขึ้นราคากันถ้วนหน้า แต่เงินในกระเป๋าของเราๆ กลับไม่ได้เพิ่มตาม ดังนั้น การจะกินจะใช้อะไรจำเป็นต้องเลือกแล้วเลือกอีกแบบอร่อยคุ้มค่าที่สุด ร้าน“ข้าวต้มชาววัง” ที่ตั้งอยู่ติดถนน อ.หางดงก็เป็นอีกร้านที่อร่อยคุ้มค่าในยุคนี้ และเรามีโอกาสฝากกระเพาะมื้อค่ำออกบ่อยครั้ง

ขอบอกว่า "ข้าวต้มชาววัง" เป็นหนึ่งในร้านอาหารที่เหมาะสมกับยุคสมัย ชื่อร้านฟังดูไฮโซ แต่ก็ราคาไม่แพงนัก ที่สำคัญคือมีรสชาติอร่อยลิ้นชวนลิ้มลอง แม้ชื่อร้านฟังแล้วรู้ชัดว่าเน้นขายข้าวต้ม แต่เมนูกับข้าวอาหารเหลาขั้นเชฟภัตราคารดัง ทั้งเมนูปลาคัง เมนูยำสารพัด หรือพวกแกงส้ม ต้มยำเสิร์ฟมาแบบจัดเต็ม จัดหนัก ในบรรยากาศกันเอง

ข้าวต้มทางร้านเสิร์ฟร้อนๆ ที่ใช้ข้าวหอมมะลิมาต้มกับใบเตย ได้กลิ่นหอมสีสวยด้วย ข้าวสวยก็มีให้เลือกกินค่ะเพราะเมนูกับข้าวที่นี่อลังการเกินร้อย ทางร้านมีเมนูกับข้าวเกิน 40 เมนูเรียกว่า เปิดเมนูอาหารปุ๊บ เลือกกันตาลาย รายการนั้นก็เข้าที รายการนี้ก็ใช่ เมื่อเดินเข้ามาถึงร้านก็มองเห็นตู้ของสดกับกุ้ง หอย ปลาที่วางเรียงรายให้เลือกกันที่ด้านหน้า พ่อครัวหยิบไปปรุงสดๆร้อนๆกันตรงนั้นเพราะเป็นครัวแบบเปิด

ลองชิมเมนูแรกกันเลย เริ่มที่ กุ้งกระเบื้อง (80 บาท) ใช้เนื้อกุ้งสับกับถั่วลิสงหมักกับเครื่องปรุงต่างๆ ให้เข้าที่ ก่อนจะนำไปคลุกกับแป้งบางๆแล้วทอดให้สุก กรอบนอกนุ่มใน ออกรสเค็มเล็กน้อย จิ้มกับน้ำจิ้มบ๊วยอร่อยดี ส่วนเมนูเด็ดที่สิงห์นักดื่มปลื้มมากและถือเป็นไฮไลท์เลยของร้าน คือ ขาไก่ซุปเปอร์ ที่นำไก่ไปทอดก่อนนำไปต้ม ปรุงรสแซ่บครบเครื่อง เปรี้ยวจี๊ดจ๊าด เค็มนิด หวานหน่อย เมนูปลาคังของทางร้านก็สุดยอด ทั้งสด แน่น มีให้เลือกกินทั้งแบบลวกจิ้ม ทั้งยำ ทั้งผัดฉ่า หรือผัดขึ้นฉ่าย หั่นเป็นชิ้นพอคำ แล้วนำมาผัดกับขิงและขึ้นฉ่าย ปรุงรสให้พอดี ลองชิมจะได้กลิ่นและรสของขิงหอมขึ้นจมูก ส่วนเนื้อปลานุ่มแน่นไม่คาว อีกหลากหลายเมนูของที่นี่ก็อร่อยต้องบอกต่อ ทั้งยำหลากชนิด ยำสามทัพ ยำทะเล  สาธยายกันไม่หมด

"ร้านข้าวต้มชาววัง สาขาอำเภอหางดง" ตั้งอยู่ฝั่งขวามือ หากขับเลยจากที่ว่าการอำเภอไปทางบิ๊กซี หางดง 2 มีที่จอดรถหน้าร้านสะดวกสบาย

ตบท้ายด้วยคาปูชิโน่เย็น...ซื้อกลับจ้า

ตลาดแม่เหียะเปลี่ยนไปมาก..นับตั้งแต่เมื่อแรกพลิกโฉมจากตลาดรกร้างมีเพียงเพิงขายของชำ และร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆไม่กี่ร้านเมื่อกว่าสิบห้าปีก่อน จนกลายเป็นตลาดในร่มขนาดใหญ่ อาคารใหญ่โตเต็มไปด้วยร้านรวง มาวันนี้ พื้นที่ตลาดขยายออกไปอีก มีอาคารและ Supermarket ชื่อดังอย่าง “ริมปิง” เป็นเพื่อนบ้านหน้าใหม่ และความสนุกตื่นตากับการเติบโตของตลาดแม่เหียะ ก็พาเรามาพบร้านกาแฟเปิดใหม่ร้านหนึ่งทางด้านหน้าตลาดฝั่งเดียวกับ Lotus Express ร้านนี้ตั้งอยู่บนชั้น 2 บนอาคารใหม่ที่เดินขึ้นบันไดไปปุ๊บเห็นประตูกระจกร้านกับที่นั่งน่ารักๆด้านนอกชัดเจน ยากที่จะยับยั้งชั่งใจมิให้เดินเร่เข้าไปภายในร้าน

“I AM COFFEE by Chula” เป็นชื่อของร้านกาแฟน่ารัก บรรยากาศอบอุ่นสบายๆ ในย่านตลาดแม่เหียะนี้ ภายในร้านตกแต่งเรียบง่ายด้วยกระเบื้องโทนสีนวลตา ผนังกรุกระจกรับแสงธรรมชาติ โดยบางมุมแต่งด้วยวอลล์เปเปอร์สีสดใสที่เป็นไฮไลท์มุมสนุกของร้าน ทำให้การมานั่งชิลล์ปล่อยอารมณ์อ่านหนังสือเล่มโปรดหรือท่องเน็ตเพลินๆแต่ละครั้งไม่จำเจ เปลี่ยนมุมนั่งได้ตามชอบ ซึ่งก็มีให้เลือกนั่งหลายมุม ทั้งด้านในร้านและด้านนอก แต่สิ่งที่ดึงดูดใจของร้านนี้ก็คือ กระดานเล็กๆ หน้าร้านที่เขียนเชิญชวนลูกค้าในช่วงนี้ว่า ลด 15% ทันทีที่ check-in หรือ กด Like เป็นแฟนเพจของร้าน

จุดเด่นของกาแฟที่ร้านนี้อยู่ที่ การเลือกใช้กาแฟเบลนด์อาข่าอาม่า หรือเม็ดกาแฟที่ปลูกที่แม่จันใต้ ด้วยกรรมวิธีปลอดสารเคมีในการผลิตตั้งแต่ปลูกจนถึงการเก็บเกี่ยวโดยชาวเขาอาข่าอาม่า เราเลยเลือกลาเต้ร้อนมาลองนั่งจิบเล่นก่อนเป็นอันดับแรก ขอบอกต่อบรรดาคอกาแฟด้วยว่าที่นี่มีเมล็ดกาแฟที่สั่งคั่วสูตรเฉพาะให้ซื้อกลับบ้านอีกต่างหาก

ด้วยบรรยากาศสบายๆของร้าน ที่นี่จึงเป็นที่พักผ่อนพบปะสังสรรค์ของคนทำงานละแวกนั้นและชาวต่างชาติก็ค่อนข้างหนาตา ในร้านนอกจากมีกาแฟและเครื่องดื่มหลากหลายทั้งร้อนและเย็นแล้ว ยังมี ขนม เค้กและไอศกรีมยี่ห้อเอเต้ ไว้คอยบริการด้วย

สำหรับเมนูเครื่องดื่ม เริ่มที่ ลาเต้ร้อน ของเรา ที่กลมกล่อมหอมเข้มลงตัวพอดีตกแต่งลายสวยงาม หรือจะเป็นชาเขียวมัทฉะเย็นของเพื่อนก็หอมชาเขียวชงได้เข้มถูกจริตเช่นกัน
เมื่อเครื่องดื่มเสิร์ฟส่งแล้วตรงหน้า สิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยคือ การจับคู่ของหวาน ของว่างแกล้มกาแฟและชาแก้วโปรด วันนี้เลยเลือกเครปเค้กเรนโบว์ชิ้นโตราคาย่อมเยา 65 บาทเท่านั้น ถ้าถามว่าให้ร้านกาแฟแห่งนี้กี่ดาวมิชลิน...นับจำนวนแก้วที่กินกับซื้อกลับดีกว่า

เรายังสั่งคาปูชิโน่เย็นกลับบ้านไปกินต่อด้วยนะ...ปลื้มปริ่มมาก!

"วัดพระธาตุดอยคำ" ตั้งอยู่บริเวณดอยคำ ซึ่งปักหมุดหมายพิกัดที่ด้านหลังอุทยานหลวงราชพฤกษ์ เดินทางไปมาสะดวกห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ในรัศมีเพียงไม่กี่สิบกิโลเมตรจากตัวเมืองนี่เอง เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยพระนางจามเทวีกษัตริย์แห่งหริภุญชัย มีความสำคัญในจังหวัดเชียงใหม่ อายุเก่าแก่กว่า 1,300 ปี

วัดนี้ประกอบด้วยเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าศาลาการเปรียญกุฏิสงฆ์และพระพุทธรูปปูนปั้นเดิมชื่อวัดสุวรรณบรรพต แต่ชาวบ้านเรียกว่า"วัดดอยคำ"ขณะนั้นวัดดอยคำเป็นวัดร้าง ต่อมากรุแตกชาวบ้านพบโบราณวัตถุหลายชิ้น เช่น พระรอดหลวง พระหินทรายปิดทององค์ใหญ่ พระสามหมอ (เนื้อดิน) ซึ่งนำมาประดิษฐานไว้ ณ วัดพระธาตุดอยคำ พระธาตุดอยคำนอกจากจะเป็นที่สักการบูชาของคนท้องถิ่นแล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์อีกแห่งหนึ่งของการบินไทยที่ใช้กำหนดพื้นที่ทางสายตา ก่อนที่จะนำเครื่องบินลงจอดที่สนามบินเชียงใหม่อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีตำนานที่น่าสนใจของวัดเล่าว่า..“พระธาตุดอยคำ” เคยเป็นที่อยู่อาศัยของยักษ์สองผัวเมีย ชื่อ จิคำและตาเขียวมาก่อน ซึ่งต่อมาชาวบ้านได้เรียกยักษ์ทั้งสองนี้ว่า “ปู่แสะ – ย่าแสะ” ปู่แสะย่าแสะมีลูก 1 คน ชื่อว่า “สุเทวฤๅษี” เหตุที่ได้ชื่อว่าดอยคำ เนื่องจากศุภนิมิตที่ยักษ์ทั้งสองได้รับพระเกศาธาตุจากพระพุทธเจ้า เกิดฝนตกหนักหลายวัน ทำให้น้ำฝนเซาะและพัดพาแร่ทองคำบนไหล่เขา และลำห้วยไหลลงสู่ปากถ้ำเป็นจำนวนมาก จึงเรียกภูเขาลูกนี้ว่า “ดอยคำ” จากตำนานหลายฉบับได้กล่าวว่า เทวดาได้นำพระเกศาธาตุที่พระพุทธเจ้าได้ประทานแก่ปู่แสะและย่าแสะ นำขึ้นมาฝังและก่อสถูปไว้บนดอยแห่งนี้ และต่อมาในปี พ.ศ. 1230 เจ้ามหันตยศ และเจ้าอนันตยศ 2 พระโอรสแฝดของพระนางจามเทวี แห่งหริภุญชัยนครได้ขึ้นมาก่อเจดีย์ครอบพระสถูปเกศานั้นไว้ ส่วนพระเจดีย์แห่งที่ 2 ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง ทางทิศเหนือของดอยคำ คือ พระธาตุดอยสุเทพ ปัจจุบันพิธีเลี้ยงผีปู่แสะย่าแสะ ถูกจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในวันขึ้นแรม 14 ค่ำ เดือน 9 บริเวณเชิงชายป่าด้านตะวันออกของตำบลแม่เหียะ พิธีนี้ทำเพื่อแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ และเชื่อว่าจะทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ผลผลิตจะได้ผลดี โดยถือว่าเป็นการปัดเป่าไม่ให้สิ่งเลวร้ายมากินบ้านเมือง

การเดินทางขึ้นไปวัดพระธาตุดอยคำ ทำได้ 2 ทาง คือ ทางซ้ายจะเป็นทางขึ้นโดยรถยนต์ ส่วนทางขวาจะเป็นทางเดินขึ้นโดยบันได สำหรับเราเลือกทางแรกก่อนเลยค่ะ นัยว่าประหยัดพลังงาน (ตัวเอง) การขึ้นมาทำบุญไหว้พระที่วัดดอยคำแห่งนี้ นอกจะได้ความอิ่มใจกลับไปแล้ว ยังได้สัมผัสวิวทิวทัศน์จากที่สูงที่แสนสงบงามอีกด้วย

ในวันที่ลมหนาวเริ่มพัดมาเยือนกายแบบนี้ เกิดคิดถึงเครื่องดื่มร้อนๆ นมอุ่นๆ แกล้มขนมปังปิ้งเนย-นม เนย-สังขยาขึ้นมา “ปังปิ้ง" เจ้าเก่าเจ้าอร่อยของเราที่เคยตั้งแนบชิดร้านก๋วยเตี๋ยวปลาเจ้ดาเจ้าเดิม เค้าได้ย้ายไปตั้งบนทำเลใหม่ที่อาคารพาณิชย์ฝั่งตรงข้าม หมู่บ้านไพน์เนอรี่โฮม ละแวกสี่แยก-หนองควาย (ก่อนขึ้นสะเมิง) เลียบถนนคลองชลประทาน เป็นที่เรียบร้อย เรายังตามไปทานให้หายอยาก

"ปังปิ้ง” ชื่อสั้นแต่บอกสิ่งที่เด่นดังของทางร้านได้อย่างดี โดยส่วนตัวเราว่า ขนมปังปิ้งของที่นี่อร่อยจนลืมขนมปังดังๆหลายร้าน กระทั่งร้านมนต์นมสด เราลองมาแล้วรู้สึกว่าต่างกันทั้งบรรยากาศ ทั้งการปิ้ง ทั้งสิ่งที่ราด ทั้งราคา ต่างกันลิบ ก็ว่ากันไปลิ้นใครลิ้นมันจะถูกปากแบบไหน ร้านนี้มีความเป็นโฮมเมด โฮมมี่อารมณ์อบอุ่นสไตล์ร้านเล็กน่ารักที่สำคัญ ขนมปังหัวกะโหลกไส้สังขยาเค้าเป็นของฝากที่ซื้อให้ใครคนนั้นก็ปลื้มใจในความอร่อย เจ้าขนมปังไส้สังขยาที่ว่าอร่อย..ถึงขนาดนิตยสารอาหารดังๆบางเล่มเคยลงรีวิวชมมาแล้วด้วยสิ

จุดขายของร้านเริ่มตั้งแต่การปิ้ง เจ้าของเองที่มักยิ้มแย้มต้อนรับลูกค้า จะยืนปิ้งขนมปังเอง โดยทาเนยหอมๆทั้งสองด้าน(ที่ทำเองเช่นกัน) และคอยพลิกขนมปังไปมา ขนมปังบนเตาปิ้งสีเหลืองเกรียมพองามกำลังสวยส่งกลิ่นหอม กรอบนอกนุ่มใน น่าทานมาก หลังขนมปังถูกนำขึ้นจากเตาปิ้ง เจ้าของคนเดียวกันนั้นจะนำมาหั่นเป็นชิ้นพอดีคำก่อนราดด้วยหน้าสังขยา หรือนม หรือกระทั่งช้อคโกแล็ตตามสั่ง

หากสั่งขนมปัง หรืออาหารอย่างง่ายๆในเมนูทานที่ร้าน ไม่ต้องกลัวขนมปังหรืออาหารติดคอ เพราะทางร้านเค้ามีเครื่องดื่มร้อนเย็น นมสด กาแฟร้อน-เย็น ชาร้อน-เย็น โกโก้ ชาเขียวร้อน-เย็น คอยให้บริการตามชอบด้วย บางคนซื้อนั่งทานจมจ่อมกันที่ร้าน บางคนสั่งเอากลับบ้านทั้งขนมปังปิ้งเนยนม เนยราดสังขยา เนยราดพริกเผา เนยราดช็อกโกแลต เนยน้ำตาล สังเกตจะใช้คำว่าราด ไม่ได้ทาหรือปาดหน้าเหมือนร้านอื่นทั่วไป เพราะจะได้ไส้เยอะมากเยิ้มมากับขนมปัง แผ่นละ 12-15 บาท(แล้วแต่รส)สมน้ำสมเนื้อมากขอบอก เราเลือกสั่งชาเขียวเย็น ทานคู่ขนมปังเนยนมวันนี้ แล้วซื้อพุดดิ้งมะพร้าวอ่อนกับขนมอื่นๆกลับบ้านด้วยเป็นอันแล้วเสร็จพิธีอร่อยเด็ดดวงวันนี้

ร้านเปิดช่วงสายๆ ทุกวันจนเย็นย่ำ จุดสังเกตที่ตั้งร้าน หากขับรถเลียบคันคลองชลประทานมาจากทางราชพฤกษ์ ผ่านสี่แยกหนองควาย (ตลาดวิบูลย์ทอง) พอข้ามแยกมาให้ชะลอรอ สังเกตหมู่บ้านไพน์เนอรี่โฮมที่จะอยู่ฝั่งขวา ให้ชิดซ้ายตรงป้ายกาแฟสด ร้านปังปิ้งซุกตัวอยู่ในตึกแถวนั่นแล...

"สะเปาคำ"นั้นเป็นคำเมืองเหนือที่แปลว่า สำเภาทอง เป็นชื่อของร้านอาหารน้องใหม่แถวๆ ต.แม่เหียะ ที่เปิดได้เมื่อไม่นานนี้ แถมมี 2 ภาคคือ เปิดภาคกลางวันมีเมนูมื้อด่วนทานง่ายเช่น ก๋วยเตี๋ยวเรือ ส้มตำ ไก่ย่าง อาหารพื้นเมืองอีกนิดหน่อย ส่วนภาคกลางคืนเปิดเป็นร้านอาหารมีดนตรีสดสไตล์โฟล์คซองกับอาหารสารพัดเมนูแกล้มการนั่งดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลากหลาย  การเดินทางมาร้านแห่งนี้ไม่ยากเลย คือถ้ามาจาก สามแยกแม่เหียะ ที่จะมุ่งหน้าออกมาทางสี่แยกบิ๊กซี หางดง ร้านจะอยู่ติดถนนทางซ้ายมือ ก่อนถึงสี่แยกร่วมๆ 50 เมตร

วันนี้เราขอรีวิวร้านสะเปาคำ ในภาคกลางวันก่อน สำหรับบรรยากาศ ร้านนี้วิวดีเห็นสีเขียวของทุ่งนาหย่อมเล็กๆ กลางเมือง เราเลือกนั่งฝั่งชานไม้ด้านนอกที่ติดกับวิวทุ่งนาเลย อาคารเปิดรับลม และค่อนข้างโล่ง แม้กลางวันแสงแดดแผกเปรี้ยงกลับไม่ร้อน บริเวณโดยรอบและตัวร้านดูสะอาดสะอ้าน ก๋วยเตี๋ยวที่นี่เค้ามีให้เลือกน้ำตก น้ำใส ก๋วยเตี๋ยวเรือจะมีแค่เนื้อหมู ลูกชิ้นหมูและเครื่องในเท่านั้น ไม่มีเนื้อวัว โดยจะเสิร์ฟพร้อมผักสด (ถั่วงอกกับโหระพา) จัดเป็นจานเล็กๆมา

แต่เมนูเด่นที่เราอยากจะนำเสนอกลับเป็นส้มตำกับไก่ย่าง(ซะงั้น) เพราะเราว่าก๋วยเตี๋ยวเรือคือรสชาติเขาจะจางไปนิด ต้องปรุงเพิ่ม (แม้ว่าสีน้ำซุปจะข้นคลั่กมาถูกทาง) ชามแรกของเราเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือเส้นหมี่ขาวไม่ใส่เครื่องใน ชามกำลังดี พอดีอิ่มในมื้อเดียว ไม่หวงเครื่องได้หมูมาสี่ห้าชิ้น ลูกชิ้น 2 ลูก ถ้าเป็นสาวๆ เชื่อเลยว่าอิ่มกำลังดีเลย

ถ้าพูดถึงจุดเด่นของร้านนี้ น่าจะเป็นบรรยากาศร้านที่ดูสะอาดไฮท์ๆหน่อย แต่ราคาไม่แพง ในปริมาณที่อิ่มพอดีถือว่าคุ้มมากสำหรับราคามื้อกลางวันหนึ่งมื้อ 2 คน เพียง 200 กว่าบาทซึ่งประกอบไปด้วย ก๋วยเตี๋ยว 2 ชาม ส้มตำไทย 1 จาน ไก่ย่าง 1 จาน ข้าวเหนียว 1 ที่ น้ำเปล่า 1 ขวด และกาแฟเย็น 2 แก้ว ก็ถือว่าร้านนี้เป็นอีกร้านหนึ่งที่ต้องแนะนำ

ว่างจากการงานที่ยุ่งขิงเมื่อใด หัวใจที่ต้องการผ่อนคลายด้วยการมองหาร้านกาแฟนั่งชิลล์แถวชานเมือง และแน่นอน"ร้านศาลากาแฟ" จะต้องเป็นลิสต์อันดับต้นๆที่นึกถึง ทั้งบรรยากาศสวนที่ร่มรื่น อาหาร เบเกอรี่แสนอร่อย เครื่องดื่มที่เลือกได้หลากหลาย

ร้านน่ารักแห่งนี้ เป็นการผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมล้านนาและการออกแบบจากวัสดุสมัยใหม่ อารมณ์โมเดิร์นแบบลอฟท์ เป็นพื้นขัดมัน เคาน์เตอร์และผนังปูนเปลือย ผสมวัสดุเป็นไม้เพิ่มความอบอุ่นและกลมกลืนกับธรรมชาติที่เป็นสวนสวยรายล้อม ลูกค้าทั้งคอกาแฟ นักชิมหรือนักท่องเที่ยวขาจรสามารถเลือกนั่งได้หลายบรรยากาศ ทั้งมุมภายในร้านที่มี 2 ชั้น ระเบียงบริเวณศาลา หรือกระทั่งในสวน โดยมีการจัดวางตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ และเฟอร์นิเจอร์หวาย เพิ่มสีสันให้สวนด้วยร่มบังแดดสีสันสดใส โคมไฟประดับและเกวียนซึ่งให้อิน เอมอิ่มอารมณ์ยิ่งนักเมื่อรวมกับการจัดสวนรายรอบ ที่มีทั้งไม้ใหญ่แซมไว้ด้วยไม้ประดับสวยงาม สลับกับพื้นที่โล่งสนามหญ้าสีเขียว ให้สัมผัสผ่อนคลายทั้งกายและใจ เรียกว่าคุ้มกับการเดินทางไปเยือนจริงๆ แถมมีบริการฟรี Wi-Fi อีกด้วย เรียกว่านั่งเพลินกันได้ทั้งวัน

ในส่วนของเครื่องดื่ม ชา กาแฟ โกโก้ ที่มีให้เลือกหลากหลายเมนูจิบ ดื่มทั้งเครื่องดื่มเย็น หรือแบบร้อน คู่กับเบเกอรี่ เค้ก และขนม มากมายจริงๆ ส่วนอาหารจานเดียวก็มีให้เลือกอร่อยไม่เบา ทั้ง สปาเกตตีหมูพริกไทยดำ สปาเกตตีผัดเปรี้ยวหวาน สปาเกตตีคาโบนาล่า พิซซ่าหน้าฮาวายเอี้ยน พิซซ่าหน้าแฮม พิซซ่าหน้ากุ้ง ข้าวหมูผัดพริกไทยดำ ซีซาร์สลัด รับรองว่าอร่อยทุกเมนู นอกจากนี้ยังมีก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ ผัดไทย เมนูอาหารง่ายๆ ตามสั่ง อย่างหมูผัดพริกแกง

ที่ควรตั้งสติเลือกดีๆ คือ เบเกอรี่เพราะทั้งรสชาติและหน้าตาต่างยั่วใจให้ลองชิมซะเหลือเกิน ทั้งApple Pie Blueberry, Cheesecake Blueberry, Brownie Almond หรือ Tiramisu และอีกสารพัด

"ศาลากาแฟ" เปิดบริการทุกวัน ประมาณ 08.00 – 18.00 น. อยู่ที่ ต.แม่แรม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ สอบถามเพิ่มเติมที่ โทร. 0-5386-0996 และ 08-6914-0777 หรือเช็คเส้นทางและข้อมูลกันก่อนที่ www.facebook.com/mysalacafe เพราะ ณ.นาทีนี้ ใครๆก็แวะ...ศาลากาแฟ

หัตถกรรมครัวเรือน..ชาวเขาทอใช้เอง ไม่ได้มีไว้ขายใครนะคะ

อาหารเช้าจัดเต็ม ท่ามกลางสายลม แสงแดดสวย บนดอย..เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม

ชื่ออำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ที่คุ้นหู ได้ยินอยู่เนืองๆ ในกิตติศัพท์ความลำบากลำบน หนทางไกล ทุรกันดาร นั่นคือ "อมก๋อย" และในความกันดาร เข้าถึงยากนี่ล่ะที่ผลักดันนักเดินทางให้ขวนขวายหาทางจนไปถึง เพื่อสัมผัสความงดงาม บริสุทธิ์ของธรรมชาติแท้ที่ยังไม่มีร่องรอยความเป็นเมืองสมัยใหม่ไปปะปน แต่อาจเพราะความงดงามของ ดอยม่อนจอง และ ห้วยจิโน ทำให้วันนี้ อมก๋อย ไม่เงียบเหงาเหมือนเก่า แม้ "อมก๋อย" สลัดภาพดินแดนที่อยู่ไกลปืนเที่ยงของเชียงใหม่ออกไปบ้าง แต่ความสวยผุดผ่องของเสน่ห์ธรรมชาติอย่างป่าต้นน้ำบนดอยไกลก็ยังอยู่ครบถ้วน และยิ่งเผยให้เห็นคุณค่าชนบทแจ่มชัดยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้น

สบโอกาสดีที่แขกผู้หลักปักใหญ่หลายฝ่ายนัดแนะกันไปตระเวนบริจาคของ จึงสมเหตุสมผลในการเที่ยวไป ได้บุญไปในถิ่นทุรกันดาร และชื่อ "อมก๋อย"ก็ถูกพูดถึงให้เป็นหมุดหมายปักหลักแหล่งในทริปนี้ของเรา เพื่อนรุ่นใหญ่ที่เป็นเนวิเกเตอร์บอกชัดว่า ที่หมายในการกางเต้นท์ของเราเรียกว่า "ห้วยจิโน" ที่เป็นหน่วยจัดการต้นน้ำ แอบนึกในใจว่าชื่อน่ารักดี

"ห้วยจิโน" เป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ใจกลางหุบเขา โอบล้อมด้วยขุนเขาสูงชัน เป็นถิ่นอาศัยของชาวไทยภูเขาหลายเผ่า มีหน่วยงานรัฐมากมายเข้าไปเพื่อช่วยพลิกฟื้นชีวิตและผืนป่า หนึ่งในโครงการพัฒนาป่าต้นน้ำนั้นก็คือ หน่วยจัดการต้นน้ำห้วยจิโน ซึ่ง หน่วยจัดการต้นน้ำห้วยจิโน ตั้งอยู่ในพื้นที่ หมู่ 17 ตำบลอมก๋อย อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ 

ห้วยจิโนอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ 1,300 เมตร ตั้งอยู่บนไหล่เขาสูงชัน เส้นทางลูกรังขรุขระแต่สามารถมองเห็นทิวเขาสลับซับซ้อนกว้างไกล มีทิวทัศน์ที่สวยงาม เงียบสงบ เหมาะสมต่อการไปพักผ่อนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะบรรยากาศยามเช้า หากโชคดีก็อาจจะพบกับท้องทะเลหมอกงดงามไม่แพ้ที่อื่น ๆ ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเดินทางไปท่องเที่ยว ห้วยจิโน คือ ช่วงฤดูหนาว ราว ๆ เดือนพฤศจิกายนถึงมกราคม ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางในหน้าฝน เพราะเส้นทางลื่นไถลอันตรายมาก ที่ห้วยจิโนมีลานสำหรับกางเต๊นท์ ตั้งแคมป์อยู่บริเวณลานจอดรถ มีห้องน้ำห้องท่าเพียงพอรองรับหากมากันหลายคน และมีบ้านพักรองรับให้บริการ 1 หลัง โดยโทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือติดต่อจองบ้านพักรับรองได้ที่ หน่วยจัดการต้นน้ำห้วยจิโน โทรศัพท์ 053 903969 หรือ โทรหาคุณสมบัติ หัวหน้าหน่วยฯ ดอยมูเซอ โทรศัพท์ 085 7087441

บนดอยสูงไร้แสงสี..ไร้แสงไฟ บนป่าต้นน้ำไกลๆ มีความบริสุทธิ์ของอากาศสะอาดใสให้ตักตวงนะคะ อยากได้อากาศสะอาดต้องไปยืนสูดเอาเองที่นั่น

..อมก๋อย "ห้วยจิโน"

เมื่อพูดถึงกาดฝรั่ง หลายคนกลับนึกถึงตลาดนัด (กาดหมั้ว หรือ ตลาดเปิดท้ายแล้วแต่ใครเรียก) ช่วงเย็นย่ำของค่ำวันพุธ ที่มักจะแน่นขนัดแออัดไปด้วยรถราและผู้คน แต่ในวันธรรมดาอื่นๆที่ร้างไร้ตลาดค่ำคืนอันเป็นสีสัน กาดฝรั่งมีหนึ่งไฮไลท์สำคัญซุกตัวอยู่ถัดๆริมปิงซูเปอร์มาร์เก็ต นั่นคือ ร้านอาหารที่ชื่อ "โรสวู้ด"

"ร้านโรสวู้ด" เป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยนและอาหารไทยแนว Modern Comfort ที่ทั้งหน้าตาอาหาร การจัดจานเสิร์ฟสวยงามและรสชาติทำเอาใครต่อใครยกนิ้วให้ อร่อย สะอาด มาตรฐานสูงในราคาไม่แพงอย่างที่คิด และด้วยบรรยากาศสบาย ๆ ของร้านให้ความรู้สึกเหมือนนั่งทานอยู่ที่บ้าน คุยไปทานไปไม่เบื่อ ไม่เกร็งเคร่งขรึม แต่พนักงานและทางเจ้าของร้านเองก็ดูแลต้อนรับ เอาใจใส่แขกทุกโต๊ะด้วยความพิถีพิถันในทุกรายละเอียดของคุณภาพและบริการ ทำให้คุ้นหน้าแขกประจำของทางร้านหลายๆโต๊ะด้วยติดใจที่นี่จากเหตุผลที่ไม่ต่างกัน

หลายต่อหลายเมนูฝรั่ง ที่สั่งบ่อยอย่าง พิซซ่าที่อบกรุ่นกรอบแป้งบาง หอมชีส สูตรพิเศษของร้านไม่เหมือนใคร หรือสเต็กจานยักษ์ สปาเก็ตตี้ทะเลพริกแห้ง ขาหมูทอด สลัด ซุปครีมหอมข้น หรือกระทั่งผักโขมอบชีสที่ไปทีไรสั่งกินไม่เกรงน้ำหนักขึ้นพรวดๆกันเลยทีเดียว และถึงแม้เมนูอาหารหนักจัดเต็มขนาดไหน ก็ควรเปิดใจเผื่อพื้นที่ของหวาน เครปเอย ฮันนี่โทสต์เอย เค้าจัดเสิร์ฟกันจานใหญ่แบ่งกันกินได้หลายคำหลายคน แต่ที่เจ๋งและกรี๊ดกร๊าดกันในครอบครัวเราที่ปลื้มช็อกโกแล็ตเป็นพิเศษคือ "ช็อกโกแล็ตลาวา" ที่หยาดเยิ้มเข้มข้นอร่อยสุดในสามโลก (น้องชายเราว่างั้น)

ในหลายๆครั้งทางร้านมักที่จัดโปรโมชั่นเมนูอร่อย "เกรดเอ" ในราคาย่อมเยาเอาใจบรรดานักชิมและแขกประจำ โดยมีให้เลือกทั้งอาหารตามสั่ง เมนูอาหารชุดกลางวัน และชุดกลางคืน ที่มีให้เลือกพร้อมเครื่องดื่มสุดเลิฟอย่างเบียร์ หรือ ไวน์หลายยี่ห่อดัง ที่สำคัญที่นี่ยังเพียบพร้อมด้วยอาหารไทยให้เลือกทานในราคาสบายๆ อาทิ เสื้อร้องไห้ เนื้อสเตอรอยส์จิ้มแจ่ว ทีก็เหมาะมาดื่มสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงาน หรือ จะเป็นเพื่อนฝูงได้อย่างสบายๆ อิ่มเอิมไปกับความสุข ที่ได้เปรียบได้ใจสำหรับการมาทานเป็นหมู่คณะ(ครอบครัว)คือที่จอดรถ ที่จอดได้สบายๆหลายคันในวันที่ไม่มีตลาดนัด ทำให้การนัดเจอกันทานมื้อเย็นที่นี่ ต่างคนต่างมายังจุดนัดพบเดียวกันช่างสะดวกสบาย

"โรสวู้ด" จึงเป็นสถานที่รวมพลเพื่อแชร์ความสุขง่ายๆในครอบครัว

กิจกรรมหลากหลายในแวดล้อมทิวทัศน์ที่สวยงาม

ด้วยทิวทัศน์สวยงามของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่มีเนื้อที่ประมาณ 20 ตารางกิโลเมตรที่เรียกว่า “อ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล”แห่งนี้ทำให้ได้รับการยอมรับว่าเป็นอ่างเก็บน้ำที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ และเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจที่คลาคล่ำผู้คนในวันหยุดสุดสัปดาห์

“อ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล” ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติศรีลานนา เกิดจากการปิดกั้นลำน้ำแม่งัดของเขื่อน ให้เป็นอ่างเก็บน้ำที่สภาพภูมิทัศน์สวยงามน่าท่องเที่ยว เป็นสถานที่พักผ่อน มีเรือนแพลอยน้ำให้คอยให้บริการนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักค้างอ้างแรมเพื่อชื่นชมธรรมชาติ ทั้งดูนก ดูฝูงปลานานาชนิดอย่างใกล้ชิด และกี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ฉันต้องการพักสมองจากเรื่องการงานที่วุ่นวายและมองหาที่หมายในการพักผ่อนช่วงวันหยุดสั้นๆ อ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชลแห่งนี้จะถูกปักหมุดหมายอยู่ในลิสต์แรกๆเสมอ และฉันมักเลือกล่องเรือเข้าไปพักที่ “เรือนแพเอกชัย” ด้วยความมักคุ้นทุกครั้งไป

การติดต่อขอจองห้องพักล่วงหน้าเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อที่ทางเรือนแพจะได้จัดเรือรับ-ส่ง ตลอดจนจัดเตรียมห้องหับอำนวยความสะดวกตามจำนวนแขกผู้เข้าพักได้โดยไม่ขาดตกบกพร่อง ซึ่ง “เรือนแพเอกชัย”มีทั้งกลุ่มแพใหญ่ที่พร้อมรับแขกที่มาพักเป็นหมู่คณะและมีแพส่วนตัว 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำที่อยู่แยกออกไปจากเรือนแพกลุ่มใหญ่เหมาะสำหรับแขกที่ต้องการความเป็นส่วนตั๊ว ส่วนตัวด้วย นอกจากเรือนพักที่ตอบสนองความต้องการได้ทั้งแขกที่มาเป็นหมู่คณะและแขกกลุ่มเล็กๆที่ต้องการพื้นที่ส่วนตัวแล้ว ทั้งนี้เรือนแพเค้าไม่อนุญาตให้นำอาหารมาปิ้งย่างทำทานเองเนื่องจากข้อจำกัดเรื่องความปลอดภัยและความสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยของพื้นที่ แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องระหว่างพักผ่อนเพราะทางเรือนแพมีร้านอาหารคอยให้บริการตลอดการเข้าพักอาศัย ด้วยรสชาติที่อร่อยปรุงจัดจ้านแบบไทยแท้ทั้งต้มยำ ผัด ทอดและสารพัดยำ กับแกล้มต่างที่ได้วัตถุดิบที่สดใหม่โดยเฉพาะปลาแม่น้ำปรุงกันสดๆ เสิร์ฟมาในปริมาณที่อิ่มอั้กได้หลายคนในราคาสมเหตุสมผล รับรองความประทับใจในการพักแรมลองประสบการณ์ชีวิตแบบใหม่บนเรือนแพ ลองสอบถามจองแพพักที่ “เรือนแพเอกชัย”ได้ที่เบอร์ 083-4805679 และ 081-9509420 

กิจกรรมระหว่างพักบนเรือนแพก็มีให้เลือกหลายหลาก จะนั่งชมวิวทิวทัศน์ยามอาทิตย์อัศดง หรือเลือกหย่อนฝ่ามือลงไปสัมผัสอุณหภูมิของสายน้ำ กวาดตามองบางคนบนเรือพายและบ้างกระโดดน้ำเล่น ตู้มต้าม หรือจะลองจ่อมเบ็ดตกปลาอย่างวิถีชาวบ้าน ทางเรือนแพเค้ามีกิจกรรมหลากหลายจนทำให้เราลืมอะไรต่อมิอะไรในที่ว้าวุ่นในสมองเสียสนิท
ลองหาเวลาปิดสวิตช์สมองที่เหนื่อยล้าลงบ้าง ที่ๆไม่ไกลนัก แต่ใช้เวลาพักสั้นๆได้คุ้มค่า “เรือนแพเอกชัย”

ลืมกาแฟหรูพะแบรนด์ยี่ห้อดังทั้งไทยและเทศกันไปก่อน ที่ไม่ว่าจะเฉียดกายไปทางไหนร้านกาแฟแบรนด์ดังบรรยากาศเดิมที่ละม้ายคล้ายกันเป็นต้องยืนกวักเรียกทุกมุมเมืองทั่วเชียงใหม่และเรียกราคากาแฟแก้วโปรดเพิ่มวิปโปะครีมแบบแพงหูฉี่อยู่ร่ำไป วันนี้เราแวะร้านเล็กๆ ริมทางระหว่างกลับบ้าน ที่ทีแรกตั้งใจแค่จะซื้อกาแฟเย็นหิ้วกลับบ้านจะได้ขับรถไป จิบไป แต่ปรากฏว่า ในร้านน่ารัก นั่งสบาย เก้าอี้บุนวมพอดีก้นดูดวิญญาณให้อยากอิงเอนต่อ พักสักเดี๋ยวก่อนปล่อยให้ชีวิตไปต่อ เลยสั่งกาแฟเย็นและเค้ก นั่งยาวร่วมชั่วโมงเสียดื้อๆ

ร้าน “Café Chic Choengdoi” หรือ คาเฟ่ ชิค เชิงดอย ตั้งอยู่บนถนนวงแหวนรอบกลาง (Big C หางดง 1) เส้นทางลอดอุโมงค์ที่จะไปทางตลาดแม่เหียะ ถ้ามาจากสี่แยก Big C หางดง 1 พอพ้นแยกปุ๊บควรชะลอเลียบซ้ายไว้ แต่ตัวร้านติดถนนสังเกตง่าย สามารถจอดรถที่หน้าร้านได้เลย

คาเฟ่ชิค เชิงดอยเป็นร้านขนาดเล็กชั้นเดียวแต่ยกระดับตัวเรือนสูงจากถนนนิดหน่อยและกรุกระจกเยอะทำให้ร้านดูกว้างโปร่งและสว่างด้วยแสงธรรมชาติกระจะตา มีบรรยากาศน่านั่งทั้งส่วนในห้องปรับอากาศ และโซนด้านนอกที่สามารถนั่งชิลล์รับอากาศดีๆตลอดทั้งวันแบบไม่ต้องกลัวร้อนเพราะทางร้านติดตั้งเครื่องพ่นไอน้ำเป็นพรายฟองชุ่มชื้นสบายไว้ด้านนอกด้วย

ฉันลองสั่งคาปูชิโน่เย็น เข้มหอมฟองนม ก็กลมกล่อมดังใจ เครื่องดื่มพร้อมแล้วที่ขาดไม่ได้คือ ขนมคู่เคียงไว้จิบ หนุบหนับกับกาแฟเย็นแก้วโปรด ทางร้านเค้ามีเค้กให้เลือกชิมตามชอบอยู่ 2-3 รายการในตู้เค้ก ของว่างกรุบกรอบอย่างขนมปังกรอบอบกระเทียมก็มี หรือใครสนใจรองท้องด้วยอาหารเบาๆอย่างแซนด์วิช สลัด หรืออาหารจานเดียวง่ายๆแบบข้าวผัดก็ได้ทางร้านเค้ามีเสิร์ฟให้เช่นกัน ยืนกวาดตามองเมนูสลับกับเค้กหน้าตาน่าทานอยู่หลายนาที ตัดสินใจเลือกเครปเค้กซ้อสส้ม มาเพิ่มความหวานนิดเปรี้ยวหน่อยให้ชีวิตก็แล้วกัน เครปเค้กเนื้อแน่น ครีมมันหวานแต่พอดี ถ้าเนื้อเครปเค้กจะนุ่มเนียนกว่านี้อีกนิดฉันคงลองสั่งเจ้าเครปเค้กสายรุ้งที่วางข้างๆกันเป็นอีกชิ้นต่อไป ซ้อสส้มหวานอมเปรี้ยวกำลังพอดีที่ให้ความสดชื่น อร่อยฉ่ำลิ้น

นาทีนี้แดดจัดจ้าด้านนอกไม่อาจทำให้ฉันร้อนรุ่ม ฉันนั่งเล่นมองโน่นนี่เพลิน พลางจิบคาปูชิโน่เย็นๆ ละเลียดเคร้ปเค้กชิ้นโตตรงหน้า โดยไม่มีสายตาเร่งรัดจากพนักงานในร้านรบกวนฉันเลยแม้แต่น้อย สาวน้อยที่นั่งอ่านหนังสืออยู่อีกโต๊ะก่อนหน้าฉันก็ยังนั่งนิ่งนานอ่านหนังสือของเธออยู่ ฉันหลงเสน่ห์ของร้านกาแฟเล็กๆ ที่เป็นเสน่ห์แบบที่หาไม่ได้ในร้านกาแฟยี่ห้อดัง แบรนด์หรูนั่นคือ ความสบาย ง่ายและอบอุ่น และร้านนี้ก็มีเสน่ห์ในแบบนั้น “คาเฟ่ชิค เชิงดอย” ฉันหลงเสน่ห์ร้านกาแฟเล็กๆแห่งนี้

อุทยานแห่งชาติจัดเตรียมสถานที่กางเต็นท์และเต็นท์ไว้ให้บริการนักท่องเที่ยว การสำรองที่พักเต็นท์และพื้นที่กางเต็นท์ สามารถจองด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช www.dnp.go.th หรือโทรติดต่อให้เจ้าหน้าที่ทำการจองให้ได้ที่หมายเลข 0 2562 0760 (8 คู่สายอัตโนมัติ) ลานกางเต็นท์ที่เปิดให้บริการมี 2 ลาน คือ ลานกางเต็นท์บ่อน้ำร้อน โซนที่ทำการอุทยานแห่งชาติ และ ลานกางเต็นท์ดอยกิ่วลม(แนะนำให้ลอง...ครั้งหนึ่งในชีวิต)

เส้นทางลูกรังทั้งสูงชันและคดโค้งจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปกสู่ลานกางเต็นท์ดอยกิ่วลม ยังเนื้อหอมสำหรับนักเดินทางที่แสวงหาความสงัดงามท่ามกลางป่าสูงเพียงเพื่อสงบจิตใจหลบความวุ่นว่ายในเมืองบางครั้งคราว

ด้วยถนนหนทางที่ไปมาหาสู่ลำบาก ห่างจากที่ทำการอุทยานขึ้นไปตามเส้นทางแคบชัน ร่วม 32 ก.ม. และยิ่งในช่วงฤดูฝนที่เส้นทางสายนี้กลายสภาพเป็นหลุมเลนอันตราย ทำให้พืชพันธุ์ ผีเสื้อหายากและเหล่านกป่าต่างๆ อาทิ นกปรอดหัวโขนก้นเหลืองและนกปีกแปรสีม่วง ยังคงอยู่สบายสมบูรณ์ไร้การรบกวนจากบรรดานักล่าและนักท่องเที่ยวมือบอนที่คอยลัก คอยฉวยสิ่งที่ธรรมชาติรังสรรค์ติดไม้ติดมือกลับไปโดยไม่นึกละอาย

จุดชมวิวบนดอยผ้าห่มปก เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่โด่งดังตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก ยอดสูงสุดของดอยสูงถึง 2,285 เมตรจากระดับทะเล ซึ่งถือเป็นดอยสูงอันดับที่ 2 ของประเทศ ถัดจากแชมป์ดอยสูงอย่างดอยอินทนนท์ บนยอดดอยผ้าห่มปกจะเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยสดงดงามไม่เป็นสองรองใคร ในวันที่อากาศเปิดจะเห็นพระอาทิตย์ฉายทาบอาบทะเลหมอกสีเงินสุดลูกหูลูกตา ขณะเดียวกันบนยอดดอยแห่งนี้ยังเป็นจุดที่ชมพระอาทิตย์ตกได้สวยงามอีกแห่งหนึ่งด้วย การขึ้นไปเที่ยวชมจุดชมวิวยอดดอยต้องอาศัยกำลังขาและการออกแรงเดินสักหน่อย ด้วยระยะทางค่อนช้างชันที่ต้องเดินขึ้นๆลงๆตลอดเส้นทางราวๆ 3.5 ก.ม.จากจุดกางเต๊นท์บนลานกิ่วลม หรือใช้เวลาเดินเท้าทั้งไปและกลับประมาณ 3-4 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับความฟิตของร่างกายและสปีดของวัย ฉะนั้นหากมั่นใจในความฟิตที่จะพิชิตยอดดอย สามารถติดต่อคนนำทางได้ที่ทำการอุทยานตรงลานกางเต็นท์ นัดแนะเวลาซึ่งมักจะเป็นช่วงเช้ามืดและอย่าลืมเตรียมพกน้ำไปด้วย ค่าคนนำทางคนละ 300 บาท

แต่สำหรับคนที่ไม่ถนัดใช้แรงงานระหว่างการพักผ่อนก็ยังสามารถชมบรรยากาศบริเวณลานกางเต็นท์ซึ่งแผงทะเลหมอกยังแผ่มาให้สัมผัสเย็นชื่นแต่อาจมียอดสนต้นไม้บดบังสายตาอยู่บ้าง ทำให้มองแผงหมอกได้ไม่กว้างเป็นทะเลหมอกชัดแบบบนยอดดอย

การกางเต็นท์นอนค้างอ้างแรมสามารถเพิ่มความสุขให้กับนักท่องเที่ยวทุกเพศ ทุกวัย และเหมือนการแค้มปิ้งย้อนไปในอารมณ์ลูกเสือ-เนตรนารีเก่าที่รื้อฟื้นความสนุกรอบกองไฟ ท่ามกลางบรรยากาศมืดมิดแลเห็นดาวกระจ่างวิบวับบนฟ้าได้ชัดเจน เสมือนสิ่งยวนใจให้ยิ่งอยากพักทำความรู้จักและผ่อนคลายในแวดล้อมของป่านานขึ้นอีก ลานกางเต็นท์ดอยกิ่วลมนี้อ้าแขนรับนักเดินทางผู้หลงใหลแมกไม้นอนใกล้ชิดธรรมชาติด้วยลานกว้างสะดวกสบาย มีห้องน้ำห้องท่าสาธารณะให้บริการพร้อมสรรพ ส่วนข้าวปลาอาหาร (เหล้ายาปลาปิ้ง) จัดเตรียมมาเองให้พร้อมจะดีที่สุดเพราะแม้จะเพิงขายอาหารตามสั่งเล็กๆเปิดให้บริการคลายหิว แต่การทำกับข้าวง่ายๆ นอกบ้านท่ามกลางธรรมชาติ มันกระตุ้นหัวใจรักผจญภัยให้พองโต มีความสุขสนุกในแบบที่ต่างจากในเมืองที่ปลีกตัวออกมา

รูปเพิ่มเติมบริเวณโดยรอบ Site B

เรือนรับรองและพื้นที่ภายในเรือนรับรอง แม้จะเล็กแต่นอนรวมกันได้กว่า 10 คนนะคะ มีห้องน้ำในตัว 1 ห้อง มีครัวขนาดเล็กและมีเตาผิงให้คลายหนาวด้วย